วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
สธ.ระดมฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง  1.9แสนคนต่อวัน  ลดอัตราป่วยตายไม่เกิน1%

สธ.ระดมฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง 1.9แสนคนต่อวัน ลดอัตราป่วยตายไม่เกิน1%

วันจันทร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
Tag : ฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง สธ.
  •  

สธ.ระดมฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง

1.9แสนคนต่อวัน

ลดอัตราป่วยตายไม่เกิน1%

ดึงรพ.สต.-ตั้งจุดฉีดนอกรพ.

จีนส่งวัคซีนให้อีก3ล้านโดส

ป่วยวันเดียว21,882-ตาย209

ยอดตายกทม./ปริมณฑลพุ่ง

ไทยติดเชื้อเพิ่มวันเดียว 21,882 ราย ปอดอักเสบทะลุครึ่งหมื่น ใส่ท่อหายใจ 1,172 ราย ยอดสะสมทะลุ 9 แสนคน ขณะที่ยอดหายป่วยใกล้เคียง 2.1หมื่น ส่วนเสียชีวิต 209 ศพ อยู่ในกทม.-ปริมณฑล 141 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป-โรคเรื้อรัง สธ.เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง ทั่วปท.ภายใน 30 วัน ให้ได้วันละ 1.9 แสนคน/วัน ตั้งเป้าลดป่วยตายไม่เกิน 1%

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด-19 และวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อใหม่ 535,817 ราย สะสม 207,446,049 ราย เสียชีวิตใหม่ 8,511 ราย สะสม 4,365,961 ราย ประเทศพบผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุดยังเป็นสหรัฐฯรายใหม่ 44,660 คน สะสม 37.4 ล้านราย อินเดีย 36,127 ราย สะสม 32.1 ล้านราย โดยหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนป้องกันกว้างขวาง แต่ยังพบการติดเชื้อใหม่จำนวนมาก แต่ผลของวัคซีนลดเสียชีวิตให้น้อยลง ทั้งนี้ อัตราป่วยต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน พบว่า สหรัฐฯ ยังสูงสุด 112,362 ราย อังกฤษ 91,397 ราย มาเลเซีย 42,169 ราย ส่วนไทย 12,960 ราย ขณะเดียวกัน อัตราตายต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน พบว่า อังกฤษ 1,917 ราย สหรัฐ 1,913 ราย และไทย 108 ราย


ติดเชื้อ21,882-ปอดอักเสบครึ่งหมื่น

นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า วันนี้รายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มใหม่ 21,882 ราย ตั้งแต่การระบาดปี 2563 สะสม 907,157 ราย หายป่วยกลับบ้าน 21,106 ราย เป็นวันที่มีการติดเชื้อเกิน 2 หมื่นอีกครั้งและหายป่วยระดับใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม หลายประเทศดูจุดสำคัญนอกจากตัวเลขติดเชื้อใหม่คือ ผู้ป่วยอาการหนัก โดยเฉพาะประเทศตะวันตกติดเชื้อจำนวนมาก แต่ผู้ที่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล(รพ.) หรือเสียชีวิตจะเป็นตัวบอกแนวโน้มสำคัญ ซึ่งไทยมียอดผู้ป่วยปอดอักเสบ 5,615 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,172 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในกทม.362ราย ส่วนผู้เสียชีวิตใหม่ 209ราย สะสมในการระบาดรอบเดือนเมษายน รวม 7,458 ราย คิดเป็น 0.85% เป็นตัวเลขต่ำกว่า1% ที่เป็นค่าเฉลี่ยทั่วโลก

ตาย209กทม.-ปริมณฑลมากสุด141คน

นพ.เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ผู้เสียชีวิต 209 ราย อยู่ในกทม. 83 ราย ใน 5 จังหวัดปริมณฑล 58 ราย รวมเป็น 141 ราย ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของผู้เสียชีวิตโดยรวม เป็นเพศชาย 117 ราย เพศหญิง 92 ราย ค่ากลางอายุที่ 68 ปี จะเห็นว่าจุดสำคัญคือ ผู้สูงอายุ โดยข้อมูลผู้เสียชีวิตอายุ 60 ปีขึ้นไปมี 137 รายคิดเป็น 66% และน้อยกว่า 60 ปี พบว่า โรคเรื้อรัง/โรคประจำตัว 48 รายคิดเป็น 23% ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วสูงถึง 89% ซึ่งเป็นเหตุผลที่เน้นย้ำให้ฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ขณะที่ หญิงตั้งครรภ์ พบ 2 รายที่ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวานและภาวะอ้วน โรคประจำตัวอื่นๆ

อายุ60ปีขึ้นติดเสี่ยงตายเน้นฉีดวัคซีน

นพ.เฉวตสรรกล่าวอีกว่า กองระบาดวิทยารวบรวมผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ข้อมูลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม-14 สิงหาคม 6,758 ราย พบเป็นกลุ่มอายุ 60-69 ปีขึ้นไป 24% อายุ 70 ปีขึ้นไป 42% รวมกันสูงถึง 68% ซึ่งต้องติดตามต่อเนื่อง เพื่อระบุความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตให้ชัดเจน เพื่อเน้นการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน

ไทยติดเชื้อสูง

“ภาพรวมสถานการณ์ไทย การติดเชื้อยังรายงานอยู่ในระดับสูงและคงตัวอยู่ เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการที่เข้มข้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม ต่างจังหวัดเดิมจะน้อยกว่ากทม.และปริมณฑล และช่วงหลังการกระจายออกไปมาก จึงเป็นส่วนที่มากขึ้นมาก” นพ.เฉวตสรร กล่าว

รักษา14วันหายแล้วยังต้องใส่แมส

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ป่วยที่รักษาโควิด ประมาณ 10-14 วัน แต่กลับมาในชุมชนจะเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากประชาชนในชุมชนยังกังวล นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า สำหรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยมาจากคณะผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่าย ซึ่งยังยึดครบ 14 วันนับจากวันเริ่มป่วยวันแรก ดังนั้น หากเริ่มป่วยไปรักษาในรพ.14 วัน แต่อาการดีขึ้นประมาณ 10 วันสามารถกลับมารักษาต่อที่บ้านจนครบ 14 วันได้ แต่เมื่อครบ 14 วันก็ยังต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เช่นเดิม ส่วนที่ระบุว่าต้องตรวจให้เจอว่ามีเชื้อหรือไม่ แนวทางชัดเจนว่าไม่ได้แนะนำว่าต้องตรวจ เพราะการตรวจอาจเจอซากเชื้อปริมาณน้อยๆได้ สิ่งสำคัญต้องยึดมาตรการนิวนอร์มอลเช่นเดิม

เผยฉีดวัคซีนไปแล้ว23ล้านโดส

นพ.เฉวตสรรยังแถลงถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ข้อมูลฉีดวัคซีนถึง 14 สิงหาคมเพิ่มขึ้น 284,378 โดส ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-14 สิงหาคม สะสม 23,476,869 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 17,879,206 โดส คิดเป็น 24.8% ส่วนได้รับครบ 2 เข็ม อีก 5,073,672 ราย คิดเป็น 7% โดยจำแนกตามบริษัทผู้ผลิตวัคซีน 1.ซิโนแวค 11,139,873 โดส 2.แอสตร้าเซนเนก้า 10,080,141 โดส 3.ซิโนฟาร์ม 1,895,209 โดส และไฟเซอร์ 361,646 โดส

บุคลากรแพทย์ฉีดเข็มสาม4.7แสน

อย่างไรก็ตาม จำนวนการได้รับวัคซีนจำแนกตามกลุ่มเป้าหมาย 1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เข็มที่ 1 จำนวน 8.5 แสนโดส เข็มที่ 2 จำนวน 7.3 แสนโดส และเข็มที่ 3 จำนวน 4.7 แสนโดส 2.เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่ 1 จำนวน 9.7 แสนโดส เข็มที่ 2 จำนวน 5.8 แสนโดส และเข็มที่ 3 จำนวน 1.3 หมื่นโดส 3.อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข็มที่ 1 จำนวน 5.6 แสนโดส เข็มที่ 2 จำนวน 2.5 แสนโดส 4.ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง เข็มที่ 1 จำนวน 1.9 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 3.4 แสนโดส 5.ประชาชนทั่วไป เข็มที่ 1 จำนวน 9.7 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 2.8 ล้านโดส 6.ผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่ 1 จำนวน 3.7 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 2.9 แสนโดส และ 7.หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่ 1 จำนวน 9,796 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 683 โดส

ไทยฉีดอันดับ4ของอาเซียน

สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีนในอาเซียนรวมแล้ว 203,421,969 โดส โดยอินโดนีเซีย มีประชากรมากที่สุด ฉีดมากสุดถึง 82 ล้านโดส คิดเป็นเข็มที่ 1 ครอบคลุม 19.6% รองลงมา มาเลเซีย ฉีดไปกว่า 26 ล้านโดส ซึ่งมีประชากรน้อยกว่าไทย คิดเป็นการครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 51.1% ขณะที่ฟิลิปปินส์ ฉีดไปกว่า 26 ล้านโดส ครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 12.7% ส่วนไทยฉีดไปกว่า 23 ล้านโดส คิดเป็นเข็มที่ 1 ครอบคลุม 26.7% ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาเซียนโดยห่างจากอันดับที่ 5 คือ กัมพูชา ฉีดแล้ว 15 ล้านโดส

จีนฉีดที่1/อินเดียตามมาที่2

นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า สัดส่วน 10 ประเทศ ที่ฉีดวัคซีนมากที่สุด ได้แก่ 1.จีน ฉีดวัคซีนแล้ว 1,832.45 ล้านโดส เป็นซิโนฟาร์ม ซิโนแวค และแคนซิโน ครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 65.4% 2.อินเดีย 529.58 ล้านโดส เป็นแอสตร้าเซนเนก้า โคแวกซิน สปุตนิก ครอบคลุมประชากร 19.4% 3.สหรัฐอเมริกา 354.78 ล้านโดส เป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันฯ ครอบคลุมประชากร 55.5% 4.บราซิล 160.06 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ ไฟเซอร์ ซิโนแวค จอห์นสันฯ ครอบคลุม 39.1% 5.ญี่ปุ่น 108.18 ล้านโดส เป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา ครอบคลุม 42.9% 6.เยอรมนี 96.85 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันฯ ครอบคลุม 58.3% 7.สหราชอาณาจักร 87.42 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ครอบคลุม 65.4% 8.ตุรกี 82.77 ล้านโดส เป็นซิโนแวค ไฟเซอร์ ครอบคลุม 49.8% 9.อินโดนีเซีย 82.22 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม โมเดอร์นา ครอบคลุม 19.6% และ 10.ฝรั่งเศส 80.56 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันฯ ครอบคลุม 62.1%

ดึงรพ.สต.จัดชุดเคลื่อนที่เร่งฉีด

นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สืบเนื่องจากมติที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม โดยระบุว่า การฉีดลักษณะนี้ ทำให้การฉีดวัคซีนรวดเร็วและกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และจากการฉีดวัคซีนที่ผ่านมาก็พบว่าช่วยลดการป่วยหนัก เสียชีวิตได้ ซึ่งการฉีดที่รพ.สต.จะอยู่ใกล้บ้าน และประชาชนเข้าถึงได้ ซึ่งคณะกรรมการโรคติตด่อจังหวัดจะมีรายละเอียดข้อแนะนำตามมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีแนวทางฉีดนอกสถานพยาบาล ในการจัดทีมบุคลากรทางการแพทย์ไปฉีด ณ จุดบริการที่คนเข้าถึงได้ง่าย เช่น วัด โรงเรียน หรืออาคารอเนกประสงค์ หรือตามบ้าน รพ. รถเคลื่อนที่ (Mobile) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อม เครื่องมือ อุปกรณ์กู้ชีพ และบริบทตามความปลอดภัย

“สำหรับทีมบุคลากรที่ไปฉีดวัคซีนนอกสถานบริการ หรือรพ.สต.จะมีแพทย์พิจารณาตามดุลพินิจว่าจะจัดบริการอย่างไรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนกลุ่มเป้าหมายที่ฉีดขึ้นกับนโยบาย กลุ่มอายุ โรคเรื้อรังที่การรักษายังไม่คงที่ต้องผ่านการวินิจฉัยของแพทย์ก่อน” นพ.เฉวตสรรกล่าว

ส่วนความคืบหน้าการจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์นั้น นพ.เฉวตสรรเผยว่า ขอเน้นย้ำว่า มีการกำหนดตามกลุ่มเป้าหมาย และไม่มีการสูญหาย ไม่มีการฉีดให้กลุ่มวีไอพี ถ้าประชาชนเห็นจุดใดสงสัยรายงานไปที่ สธ. เพื่อตรวจสอบได้ ซึ่งสธ.ย้ำว่า กลุ่มที่จะได้รับไฟเซอร์ยังเป็นบุคลากรแพทย์และสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโควิดทั่วประเทศ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์12สัปดาห์ขึ้นไป เป็นต้น วัคซีนไฟเซอร์ เป็นชนิด mRNA ต้องควบคุมให้อยู่ในอุณหภูมิที่ดี ถ้าห่วงโซ่ความเย็นจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งต้องอยู่ในอุณหภูมิที่ถูกต้อง เพื่อให้อายุวัคซีนมีสภาพดีและมีคุณภาพดี เพื่อกระตุ้นภูมิฯให้ประชาชนได้ ขณะนี้หลายพื้นที่ได้เปิดบริการฉีดให้กลุ่มเสี่ยงแล้ว เช่น สมุทรปราการ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เป็นต้น

ติดเชื้อสะสมทะลุ9แสนคนแล้ว

วันเดียวกัน ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตประจำวันว่า ไทยพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 21,882 ราย แบ่งเป็น จากการเฝ้าระวังในระบบบริการสุขภาพ 18,499 ราย จากการตรวจค้นเชิงรุกในชุมชน 3,132 ราย จากเรือนจำ 245 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศอีก 6 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 15 สิงหาคม อยู่ที่ 878,294 ราย ขณะที่ยอดรวมสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 907,157 ราย

รักษาตัวในรพ.2.1แสนราย

ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 209 ราย รวมสะสมตั้งแต่ 1 เมษายน-15 สิงหาคม อยู่ที่ 7,458 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 63 อยู่ที่ 7,552 ราย ผู้ป่วยรักษาหายเพิ่มขึ้น 21,106 ราย รวมยอดรักษาหายสะสม 661,236 ราย ยังรักษาตัวอยู่ 210,943 ราย โดยอยู่ในโรงพยาบาล 57,920 ราย อยู่ในโรงพยาบาลสนาม 153,023 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 5,615 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,172 ราย สำหรับผู้เสียชีวิต 209 ราย เป็นชาย 117 ราย หญิง 92 ราย เป็นคนไทย 203 ราย เมียนมา 6 ราย อายุเฉลี่ย 68 ปี (19-95 ปี) โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป 137 ราย คิดเป็น 66% อายุน้อยกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรัง 48 ราย คิดเป็น 23% ซึ่ง 2 กลุ่มนี้รวมเป็น 89% ขณะที่ยังพบหญิงตั้งครรภ์ 2 รายเสียชีวิต ที่จ.ร้อยเอ็ด และจ.ศรีสะเกษ

ทั้งนี้ กทม.พบผู้เสียชีวิตสูงสุด 83 ราย ขณะที่ปริมณฑล 58 รายคือ สมุทรสาคร 16 ราย นนทบุรี 15 ราย สมุทรปราการ 13 ราย นครปฐม 9 ราย ปทุมธานี 5 ราย , ภาคใต้ นราธิวาส 3 ราย ปัตตานี 3 ราย สงขลา 2 ราย ชุมพร 2 ราย ระนอง 1 ราย สุราษฎร์ธานี 1ราย ภาคอีสาน ร้อยเอ็ด 6 ราย ศรีสะเกษ 5 ราย อุบลราชธานี 3 ราย อุดรธานี 2 ราย ขอนแก่น 1 ราย ภาคเหนือ ตาก เพชรบูรณ์ อุทัยธานี สุโขทัย จังหวัดละ 2 ราย กำแพงเพชร ชัยนาท จังหวัดละ 1 ราย ภาคกลางและภาคตะวันออก ชลบุรี 13 ราย สุพรรณบุรี 5 ราย ระยอง 4 ราย จันทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี จังหวัดละ 1 ราย

สัปดาห์ที่34ติดเชื้อทั่วปท.2หมื่น/วัน

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สธ.

มีระบบฐานข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดทุกเรื่อง ทั้งยารักษา เวชภัณฑ์ จำนวนเตียง รวมทั้งการกระจายและฉีดวัคซีน อัตราการป่วย เสียชีวิต รองรับการคาดการณ์แนวโน้มระยะ 14วัน ทั้งการระบาด การใช้ทรัพยากรและปรับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการระบาดโควิดตลอดเวลา ใช้ยุทธศาสตร์ที่เน้นลดอัตราเสียชีวิตและป่วยหนัก มีการประเมินติดตามยุทธศาสตร์บริหารจัดการการระบาด

“จากข้อมูลช่วงวันที่ 6-12 สิงหาคม หรือสัปดาห์ที่ 34 ของปีนี้ พบติดเชื้อทั้ง 77จังหวัด เฉลี่ย 20,000รายต่อวัน จำนวนผู้ติดเชื้อกระจายจากกรุงเทพฯและปริมณฑล ไปภูมิภาค มากสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมีผู้ป่วยอาการหนักมี 5,507 ราย ส่วนใหญ่อยู่ภาคกลางและไม่พบผู้ป่วยอาการหนัก 3 จังหวัดคือ กระบี่ พัทลุง และ ลำปาง” นพ.เกียรติภูมิกล่าว

11จว.ไม่เสียชีวิต-ลดป่วยตายไม่เกิน1%

และว่า ภาพรวมสัปดาห์ที่ 34 มีอัตราป่วยตายของไทยอยู่ที่ร้อยละ 0.9 หรือ คิดเป็น 105 ต่อประชากรล้านคน ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 559 ต่อประชากรล้านคน อัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากรพบว่า กระจุกตัวในภาคกลาง โดยจังหวัดที่อัตราการเสียชีวิตมากกว่า 5 ต่อแสนประชากร มี 5 จังหวัด คือ สมุทรสาคร อยู่ที่ 13 ต่อแสนประชากร, กรุงเทพฯ 10 ต่อแสนประชากร, สมุทรปราการ 6 ต่อแสนประชากร, ตาก 5.7 ต่อแสนประชากร และ นครปฐม 5 ต่อแสนประชากร ส่วนเสียชีวิต 3-5 ต่อแสนประชากร มี 6 จังหวัด คือ ปัตตานี ปทุมธานี ระนอง ปราจีนบุรี ตราด และนครนายก เสียชีวิต 1.5-3 ต่อแสนประชากร มี 11 จังหวัด คือ อ่างทอง นราธิวาส พิจิตร อยุธยา ยะลา นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี ราชบุรี ชลบุรี และระยอง และน้อยกว่า 1.5 ต่อแสนประชากรมี 44 จังหวัด และไม่พบผู้เสียชีวิต 11 จังหวัด คือ กระบี่ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ บึงกาฬ แพร่ ภูเก็ต ลพบุรี เลย สมุทรสงคราม และ สุพรรณบุรี

นพ.เกียรติภูมิกล่าวอีกว่า จากการประชุมติดตามการทำงาน สธ.จึงตั้งเป้าหมายลดอัตราป่วยตาย ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ได้กำชับให้ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพติดตามใกล้ชิด จัดสรรทรัพยากรดูแลรักษาให้แต่ละจังหวัดอย่างเหมาะสม เช่น เครื่องช่วยหายใจ ยารักษา ตรวจเชิงรุก ค้นหาผู้ติดเชื้อเร็ว นำเข้าระบบรักษาเร็ว ได้ยาเร็ว

เป้า30วันฉีดกลุ่มเสี่ยง1.9แสน/วัน

นอกจากนี้ เร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดให้ครอบคลุมตามเป้าหมายของพื้นที่ภายใน 30 วัน หรืออย่างน้อย 1.9 แสนคนต่อวัน โดยฉีดเข็ม 1 ใน 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดให้ได้ร้อยละ70 ขณะนี้มีเพียงกรุงเทพฯที่ฉีดกลุ่ม 60ปีขึ้นไปได้ร้อยละ 90 และบางจังหวัด ได้แก่ ลพบุรี กาญจนบุรี นครราชสีมา ฉีดได้ต่ำกว่า ร้อยละ20 สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่เหลือ ต้องฉีดให้ครอบคลุม ร้อยละ 50 และเฝ้าระวังการระบาดในโรงงาน ตลาด และชุมชน เข้มงวดมาตรการ บับเบิล แอนด์ ซีล (Bubble & Seal)

อภ.ยันซื้อATK8.5ล้านชุด

ด้านนางศิรินุช ชีวันพิศาลนุกูล รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดซื้อชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ATK 8.5 ล้านชุด ตามโครงการพิเศษของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างเร่งด่วนว่า อภ.จัดซื้อตามเนื้อหาหลักของ TOR ที่สปสช.กำหนดมา ซึ่ง TOR ล่าสุดไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นมาตรฐาน WHO ทั้งนี้ เป็นไปตามหนังสือของโรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถี ส่งมาให้ อภ.ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2564 พร้อมแนบหนังสือของ สปสช. ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ซึ่งแนบ TOR ที่ลงนามโดยประธานคณะทำงานกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาด้วย

ประสาน’สปสช.’ปรับTORแล้ว

“หลังจากนั้นอภ.ประสานสปสช.และโรงพยาบาลราชวิถี เพื่อปรับรายละเอียดบางส่วนของ TOR บางประการ เช่น การกำหนดเวลาส่งมอบที่กระชั้นชิด จากเดิมวันส่งมอบซึ่งระบุเป็นวันที่ 10 สิงหาคม ได้ปรับเป็นส่งมอบภายใน 14 วันหลังวันลงนามในสัญญา รวมถึงประเด็นที่ได้รับการทักท้วงจากผู้ขายและได้ดำเนินการตามความเห็นของสปสช. อาทิ จากเดิมให้ใช้ตัวอย่างตรวจเป็น “Nasal /Nasopharyngeal swab” ปรับเป็น “Nasal swab” หรือตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง ชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS-CoV2 (เชื้อก่อโควิด-19) พ.ศ.2564 ข้อ 10 ปรับค่าจากเดิม “ความจำเพาะ (Specificity) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 97” ได้ปรับเป็น “ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 98″ เพื่อให้ได้ ATK ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของ อย. ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เปิดกว้างแข่งขันมากขึ้น และเป็นไปตามความต้องการตาม TOR ของสปสช. และโรงพยาบาลราชวิถี พร้อมทั้งจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือก เนื่องจากมีผู้ขายมากกว่า 1 ราย ซึ่งสามารถดำเนินการเร่งด่วนได้เช่นกัน พร้อมเร่งส่ง TOR ให้บริษัททั้ง 24 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทตามประกาศของ อย.ในขณะนั้น กำหนดยื่นเสนอเอกสารและเปิดซองราคาวันที่ 10 สิงหาคม ใช้เกณฑ์ราคาต่ำสุด” นางศิรินุชกล่าว

และว่า ในวันเสนอราคามีบริษัทเข้าร่วมเสนอราคา 19 บริษัท ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ 16 บริษัท และได้ผลิตภัณฑ์ ATK ยี่ห้อ “SARS-CoV-2 Antigen Rapid Test Kit” ของ บริษัทออสแลนด์ แคปปิตอล จำกัด โดยผู้แทนจำหน่ายคือ บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) เป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด ราคาประมาณชุดละ 70 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเสนอราคาต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ สปสช.ตั้งไว้ ทำให้ประหยัดงบประมาณภาครัฐได้กว่า 400 ล้านบาท

ระบุยี่ห้อจัดซื้อวิธีเฉพาะเจาะจงได้

นางศิรินุชกล่าวต่อไปว่า การจัดซื้อ ATK ครั้งนี้ ถ้าหาก สปสช.และโรงพยาบาลราชวิถี พิจารณาเห็นว่ามีผู้ขายเพียงรายเดียวที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามที่ต้องการ ทั้ง 2 หน่วยงานสามารถระบุ ยี่ห้อและ/หรือบริษัท พร้อมเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจนในการต้องระบุยี่ห้อ มาให้องค์การฯเพื่อจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงได้ แต่การจัดซื้อครั้งนี้ทั้ง 2 หน่วยงานไม่ได้มีการระบุมาให้ องค์การฯจึงจัดซื้อตามข้อบังคับองค์การเภสัชกรรมว่าด้วยการพัสดุเพื่อการผลิตและจำหน่าย พ.ศ.2561 โดยวิธีคัดเลือกเนื่องจากมีผู้ขายหลายราย ซึ่งสามารถดำเนินการภายในระยะเวลาเร่งด่วนได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ข้อบังคับของ อภ.ว่าด้วยการพัสดุเพื่อผลิตและจำหน่าย พ.ศ.2561 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นหลักเกณฑ์จัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง ที่ออกตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ข้อบังคับฯจะกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ของการซื้อโดยวิธีคัดเลือกไว้ในข้อ 11 และวิธีเฉพาะเจาะจงในข้อ 13 โดยสามารถซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกรณีเป็นพัสดุเพื่อการผลิตและจำหน่ายที่จำเป็นต้องซื้อตามความต้องการของลูกค้าตามข้อ 13 (4)

จีนส่งวัคซีนถึงไทยอีก3ล้านโดส

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตจีน โพสต์ ระบุวัคซีนโควิดส่งถึงไทยอีก 3 ล้านโดส รวมจีนหาวัคซีนให้ไทยแล้ว 24.55 ล้านโดส โดยสถานเอกอัครราชทูตจีนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยระบุว่า “เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม วัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 ชุด รวม 3 ล้านโดสได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว จนถึงขณะนี้ จีนได้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประเทศไทย 24.55ล้านโดส “จีนไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”ประเทศไทยสู้ๆ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • โควิดติดเชื้อพุ่ง หมอจุฬาชี้น่าเป็นห่วง สธ.ยันพร้อมรับมือได้ โควิดติดเชื้อพุ่ง หมอจุฬาชี้น่าเป็นห่วง สธ.ยันพร้อมรับมือได้
  • ‘สมศักดิ์’สั่งเฝ้าระวังโรค‘แอนแทรกซ์’เข้มข้น ยับยั้งการแพร่ระบาด ‘สมศักดิ์’สั่งเฝ้าระวังโรค‘แอนแทรกซ์’เข้มข้น ยับยั้งการแพร่ระบาด
  • \'สสส.-สธ.\'ชวนคนไทย\'นับคาร์บ\'ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน ตัวช่วยกระตุ้นลดเสี่ยงโรค NCDs 'สสส.-สธ.'ชวนคนไทย'นับคาร์บ'ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน ตัวช่วยกระตุ้นลดเสี่ยงโรค NCDs
  • ‘สธ.’เดินหน้ายุติ‘วัณโรค’ ตั้งเป้าปี78 ลดอัตราการตายร้อยละ 95 ลดผู้ป่วยรายใหม่ร้อยละ 90 ‘สธ.’เดินหน้ายุติ‘วัณโรค’ ตั้งเป้าปี78 ลดอัตราการตายร้อยละ 95 ลดผู้ป่วยรายใหม่ร้อยละ 90
  • ‘สธ.-ทส.’หนุนปลูก‘สมุนไพร’พื้นที่อนุรักษ์ ‘อภัยภูเบศร’ชูโมเดลชุมชนเกษตรอินทรีย์ ‘สธ.-ทส.’หนุนปลูก‘สมุนไพร’พื้นที่อนุรักษ์ ‘อภัยภูเบศร’ชูโมเดลชุมชนเกษตรอินทรีย์
  • ‘สมศักดิ์’ประกาศ‘สธ.’ตั้งเป้าปี69 ใช้‘ยาสมุนไพร’ในระบบหลักประกันสุขภาพ 3 พันล้าน ‘สมศักดิ์’ประกาศ‘สธ.’ตั้งเป้าปี69 ใช้‘ยาสมุนไพร’ในระบบหลักประกันสุขภาพ 3 พันล้าน
  •  

Breaking News

ตร.เร่งล่าแก๊งปล้นอุกอาจร่วมกันยิงโจ๋วัย17ดับ

ธรรมะวันอาทิตย์ : เปิดเส้นทางขอมโบราณ ตำนานป่าศักดิ์สิทธิ์ แก๊งมอดไม้ถูกอาถรรพ์

รบ.คุมเข้ม'Lazada- shopee'และอีก 17 เว็บดัง ต้องปฏิบัติตามม.20 กม.DPSคุ้มครองผู้บริโภค

อ.ต.ก.ไลฟ์สดขายผลไม้เร่งกระจายผลผลิตลำไย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved