จ่ายมัดจำไฟเซอร์20ล้านโดส
ครม.ทุ่ม9,372ล้านบ.
นัดส่งมอบภายในไตรมาส4
สั่งซื้อเพิ่มอีก10ล.โดสในปีนี้
‘กทม.’ไฟเขียว18สิงหาคม
เปิดธนาคารในห้างถึง2ทุ่ม
ป่วยใหม่20,128คน-ดับ239
ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ให้คนไทยเพิ่มอีก 20,001,150 โดส โดยอนุมัติกรอบวงเงินที่ต้องนำไปชำระ 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็น จัดหาวัคซีน 8,439 ล้านบาทเศษ และค่าบริหารจัดการ 933 ล้านบาทกำหนดส่งมอบไตรมาส 4 ช่วงปลายกันยายน-ต้นตุลาคมและจัดซื้อเพิ่มอีก 10 ล้านโดส สรุปไตรมาส 4 มีไฟเซอร์เข้ามา 30 ล้านโดส โควิดไทยยังดุตายพุ่ง 239 ศพติดเชื้อ 20,128 คน ยังมีตายคาบ้าน 5 ศพ เป็นหญิงท้องเมียนมา 1 ราย สธ.แจงงบซื้อชุดตรวจ ATK 180ล้านบาท เป็นงบกลางปี’64 ที่ยื่นขอมาก่อนหน้านั้นแล้วเพื่อนำมาจ่ายให้รพ.รัฐตรวจหาเชื้อ ขณะที่ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์ฯ เผยเตรียมนำเข้าวัคซีนทางเลือก “โนวาแวกซ์”หรือวัคซีนที่ไม่ซ้ำซ้อนกับรัฐปี 65 เป็นทางเลือกให้ปชช.
เมื่อวันที่ 17สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ข้อมูล COVID-19 สรุปสถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศว่า ไทยพบผู้ป่วยใหม่ 20,128 ราย หายป่วยแล้ว 703,011 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 919,579 ราย
ตายนิวไฮ239-ดับคาบ้าน5คน
สำหรับผู้เสียชีวิตมีเพิ่มอีก 239 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 7,879 ราย รายละเอียดผู้เสียชีวิตทั้ง 239 ราย เป็นชาย 120 ราย หญิง 119 ราย เป็นชาวเมียนมา 3 ราย จีน 1 ราย อายุเฉลี่ย 22 -105 ปี โดยอัตราผู้เสียชีวิตอายุ 60 ปีขึ้นไป 158 ราย หรือ 66% ส่วนอายุน้อยกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรัง 60 ราย หรือ 25% ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 20 ราย หรือ 8% ทั้งนี้ ในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นหญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ชาวเมียนมา ขณะที่เสียชีวิตที่บ้าน 5 ราย ในกทม.4 ราย และสระบุรี 1 ราย
ฉีดวัคซีนสะสม24ล้านโดส
ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตกระจายอยู่ใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในกทม.สูงสุด 79 ราย ลพบุรี 25 ราย ชลบุรี 10 ราย สมุทรสาคร 18 ราย นนทบุรี 14 ราย สมุทรปราการ 11 ราย นครปฐม 7 ราย ปัตตานี 5 ราย ร้อยเอ็ด 5 ราย สุรินทร์ 4 ราย ข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563 หายป่วยแล้ว 730,437 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 948,442 ราย เสียชีวิตสะสม 7,973 ราย ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์- 16 สิงหาคม มีผู้รับวัคซีนสะสม 24,100,631 โดส โดยวันที่ 16 สิงหาคม มีผู้ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 374,171 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 118,681 ราย เข็มที่3 จำนวน 15,646 ราย
ATKตรวจรพ.สังกัดสธ.-รร.แพทย์
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะกรรมการอีโอซีของกระทรวง ถึงกรณีมีรายงานว่าที่ประชุม EOC ให้ซื้อชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) สำหรับบุคลากรการแพทย์ งบประมาณประมาณ 180 ล้านบาทว่า เป็นแผนงานที่เราขอจากรัฐบาลนานแล้ว เนื่องจากกรมควบคุมโรค (คร.) มีข้อกำหนดให้เพิ่มการคัดกรองในสถานประกอบการต่างๆ เพื่อให้แยกผู้ติดเชื้อเร็ว และเข้ารักษาได้เร็ว ซึ่งในส่วนบุคลากรสาธารณสุขนั้น ปฏิบัติงานกับผู้ป่วยนั้นมีการระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังติดเชื้อได้ รวมถึงกรณีอาจติดในบุคลากรกันเองด้วย ดังนั้น สธ.จึงมีนโยบายให้ตรวจด้วย ATK ในกลุ่มเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลสัปดาห์ละ 1 ครั้ง นำร่องทดลอง 4-5 สัปดาห์ ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลในสังกัด สธ. และโรงเรียนแพทย์ เพื่อเป็นการคัดกรองบุคลากรเบื้องต้น
ทั้งนี้ ในส่วนงบประมาณนั้น มีกองบริหารการสาธารณสุข (กบรส.) ดูแล ซึ่งปกติ กบรส. ก็ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) บริหารคลังอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์อยู่แล้ว เช่น หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และอื่นๆ ที่จัดซื้อและกระจายไปทั่วประเทศ ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องก็จะออกข้อกำหนดซื้อ ATK อีกครั้งหนึ่ง
แจงใช้งบ180ล้านจากงบกลางปี64
นพ.กรกฤช ลิ้มสมมติ ผอ.กบรส.ชี้แจงถึงงบประมาณ 180 ล้านบาทที่ใช้จัดซื้อชุด ATKว่า เป็นงบกลางปี 2564 ที่ครม.อนุมัติให้มาแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันจัดสรรงบฯดังกล่าวจากสำนักงบประมาณ ซึ่งหากส่งมาแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของ ATK ที่จะใช้ ซึ่งตามหลักผู้ใช้สามารถกำหนดสเปกได้ แต่กบรส.ต้องตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมพิจารณา อาทิ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่หารือกันเบื้องต้นนั้น เป็น ATK สำหรับให้ประชาชนตรวจด้วยตัว หรือโฮมยูส (Home Use) เพราะบุคลากรก็คือประชาชนคนหนึ่ง และมีหลายส่วนงาน ดังนั้น จึงใช้ชุดตรวจที่ตรวจได้เอง ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นยี่ห้อท็อปตัวไหนเป็นพิเศษ แต่ให้เป็น ATK ที่อย.รับรองและขึ้นทะเบียนแล้ว
ไทยฉีดวัคซีนแล้ว24ล้านโดส
ด้านนพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ว่า สำหรับสถานการณ์ฉีดวัคซีนโควิดรอบวันที่ 16 สิงหาคม เวลา 18.00 น.จำนวน 508,498 โดส รวมสะสม 24,100,631 โดส โดยเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 18,370,997 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 5,228,157 โดส และเข็มที่ 3 จำนวน 501,477 โดส ทั้งนี้ เมื่อแยกดูในส่วนของเข็มที่ 1 กว่า 18 ล้านโดสนั้น คิดเป็นความครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 25.5% ส่วนเข็มที่ 2 ครอบคลุมที่ 7.3% ของประชากร ขณะที่หากแยกตามชนิดวัคซีน พบว่าเป็นซิโนแวค 11,399,453 โดส แอสตร้าเซนเนก้า 10,255,294 โดส ซิโนฟาร์มที่ 2,036,818 โดส และไฟเซอร์ 409,066 โดส
ขออภัยฉีดเข็ม3ให้คนทั่วไปยังไม่มี
“ ต้องขออภัยการแถลงข่าวครั้งที่แล้วด้วยความคลาดเคลื่อนของระบบดึงข้อมูล มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในกลุ่มประชาชนทั่วไป จึงรีบตรวจสอบ พบความคลาดเคลื่อน ขณะนี้ได้ปรับปรุงฐานข้อมูลเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ขอย้ำว่า วัคซีนเข็มที่ 3 มีนโยบายให้กลุ่มบุคลากรแพทย์และสาธารณสุข และบุคลากรด่านหน้า ดังนั้น หากมีข้อสงสัย เห็นความผิดปกติให้แจ้ง สธ.ทันที เพื่อร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งกรมควบคุมโรคได้แจ้งหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องย้ำเรื่องนี้แล้ว ว่า การฉีดต้องเป็นไปตามแนวทางและนโยบาย หากมีความผิดปกติให้เป็นความรับผิดชอบดูแลระดับจังหวัดตรวจสอบเรื่องดังกล่าว” นพ.เฉวตสรร กล่าว
สำหรับข้อมูลที่ปรับปรุงใหม่ล่าสุด วันที่ 16 ส.ค. เวลา 18.00 น. ดังนี้ 1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 857,547 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 740,164 และเข็มที่ 3 จำนวน 501,477 ราย 2.เจ้าหน้าที่ด่านหน้า ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 984,152 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 590,567 ราย 3.อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 569,786 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 258,956 ราย 4.ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 2,038,695 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 361,148 ราย 5.ประชาชนทั่วไป ฉีดเข็มที่ 1 จำนวนน 10,052,492 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 2,953,047 ราย 6.ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 3,856,515 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 323,527 ราย 7.หญิงตั้งครรภ์ ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 11,810 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 748 ราย
รพ.มธ.เตรียมนำเข้าโนวาแวกซ์
รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แถลงข่าวกรณีสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกประกาศใช้ข้อบังคับนําเข้ายา วัคซีน และเวชภัณฑ์รับมือโควิด – 19 ระบาดว่า การออกประกาศดังกล่าว เนื่องจากดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการบริหารรพ.ธรรมศาสตร์ฯ เห็นถึงปัญหาความต้องการวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ในภาวะวิกฤตไม่พอกับความต้องการ จึงคิดออกข้อบังคับดังกล่าวขึ้นมา เพื่อช่วยเป็นทางเลือกจัดหา ผลิต จำหน่าย นำเข้า และขออนุญาตและออกใบอนุญาต การขึ้นทะเบียนยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เบื้องต้นรพ.ธรรมศาสตร์ฯสนใจนำเข้าวัคซีน ที่ไม่ซ้ำซ้อนกับการนำเข้าของหน่วยงานอื่น ทั้งรัฐ อภ.และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และเป็นวัคซีนเจนเนอร์ชั่น 2 เพื่อบูสเตอร์ โดสให้ประชาชน ในรูปแบบวัคซีนทางเลือก คาดว่าจะเป็นวัคซีนโปรตีนซัปยูนิตของโนวาแวกซ์ รวมถึงวัคซีน mRNA เจนเนอร์เรชัน 2 เช่น โมเดอร์นา ทั้งนี้ มธ.ยังต้องหาผู้ร่วมสนับสนุนด้วย โดยเปิดกว้างทั้งเครือข่ายโรงเรียนแพทย์ UHOSNET ราชวิทยาลัย สมาคม รวมถึงกลุ่มเครือข่ายรพ.เอกชน
เล็งนำเข้าATKช่วยรัฐอุดช่องโหว่เข้าถึง
รศ.นพ.พฤหัสกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังสนใจนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ อย่าง ATK ที่ต้องการมาช่วยสนับสนุนภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและราคาถูก ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ คาดว่า การนำเข้า และเริ่มกระบวนผลิตเองของอภ.เพียงพอแล้ว พร้อมยืนยันการดำเนินการของมธ. ไม่ได้ต้องการแสวงหาผลกำไร และมองว่าการออกข้อบังคับของมหาวิทยาลัยนี้ ช่วยอุดช่องโหว่ภาครัฐ สร้างการเข้าถึงยา เวชภัณฑ์ ในประชาชน ถ้าทุกมหาวิทยาลัยต่างออกประกาศข้อบังคับ ทำให้สมดุลหรืออำนาจต่อรองการสั่งซื้อน้อยลง มากกว่าการความความต้องการจากเครือข่ายแล้วสั่งซื้อ ขณะนี้ยังไม่ได้มีหน่วยงานใดเสนอตัวเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ทันที มีเพียงเจรจา หากมีความชัดเจนเรื่อง วัคซีนจะตกลงอีกครั้ง เพราะเบื้องต้นมองว่า หากทำได้จริง การนำเข้าจะเกิดขึ้นในปี 2565
ย้ำเป้าเดิมสิ้นปี64ฉีดได้ร้อยล้านโดส
ด้านน.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการแจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาลถึงแผนจัดหาและฉีดวัคซีนปีนี้ว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2564 ต้องจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส ซึ่งวันที่ 16 สิงหาคม ที่ประชุม ศบค.นำตัวเลขมาพิจารณาว่าในจำนวน 100 ล้านโดสนั้นจะมาจากที่ไหนบ้าง ยืนยันว่าสามารถจัดหามาได้ตามจำนวนนี้ ดังนั้น ความวิตกกังวลหรือสื่อที่กำลังคำนวณตัวเลขก็ขอให้สบายใจ เพราะปัจจุบันมีวัคซีนที่กำลังจัดสรรและดำเนินการอยู่แล้ว 84 ล้านโดส โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาจัดซื้อไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส และซิโนแวค 12 ล้านโดส ดังนั้น จึงอยู่ในเป้าหมายที่จัดการได้แน่นอน
ครม.เคาะ9พันล้านซื้อวัคซีน20ล้าน
หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ให้คนไทยเพิ่มอีก 20,001,150 โดส ซึ่งเป็นส่วนที่เคยลงนามไปแล้ว แต่วันนี้มีการอนุมัติกรอบวงเงินที่ต้องนำไปชำระ 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็น จัดหาวัคซีน 8,439 ล้านบาทเศษ และค่าบริการจัดการ 933 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ จะส่งมอบในไตรมาสที่ 4 ช่วงปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ ครม. ยังได้รับทราบการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส พร้อมมอบหมายกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ลงนามกับตัวแทนบริษัทไฟเซอร์ จะทำให้การจัดการวัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ เพิ่มเติมจาก 20 ล้านโดส และจะส่งมอบในไตรมาส 4 ของปีนี้ เพราะฉะนั้น วัคซีนไฟเซอร์จะเข้ามาประมาณ 30 ล้านโดสในไตรมาสสุดท้ายคือ ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป
ยืดล็อกดาวน์29จว.-เปิดแบงก์ในห้าง
ขณะเดียวกัน ครม.เห็นชอบข้อเสนอตามมติศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ให้ขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด ต่อไปอีกถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 พร้อมให้สนับสนุนมาตรการ Work from home 100% รวมทั้งเพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ชุดตรวจ ATK ใน กทม. และปริมณฑล และเห็นชอบข้อเสนอผ่อนปรนให้ธนาคารและสถาบันการเงิน ภายในห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29จังหวัด หรือพื้นที่สีแดงเข้มให้สามารถเปิดได้ไม่เกิน 20.00น.
แพทย์ชนบทลุยตรวจสอบชุดATK
วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของชมรมแพทย์ชนบท โดยเพจชมรมแพทย์ชนบทโพสต์ข้อความแจ้งข่าวด่วนระบุ รอแถลงการณ์ปฏิบัติการครั้งที่ 4 เครือข่ายแพทย์ชนบทร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ทุกภาคของประเทศ จัดตั้ง 60 ทีม ผู้เข้าร่วมปฏิบัติการกว่า 1,000 คน พร้อมตรวจสอบ คุณภาพมาตรฐาน ATK ถ้ามีการจัดซื้อจริง จะได้หาคำตอบให้สังคมได้ว่า ใครต้องรับผิดชอบอย่างไร เมื่อมีข้อสั่งการ EOC วันที่ 16 สิงหาคม 2564 (ครั้งที่ 303) เรื่องแจ้งให้ทราบ/ข้อสั่งการ มอบ อภ.จัดซื้อชุดตรวจ ATK วงเงินงบประมาณตามที่ขอไป 180 ล้านบาท
ไฟเขียวเปิดแบงค์ในห้าง18สค.
วันเดียวกัน คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อฯ ครั้งที่ 24/2564 โดยมีมติเห็นชอบปรับการบังคับใช้บางมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เนื่องจากศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้แจ้งให้กรุงเทพมหานคร ดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิดในการประชุมครั้งที่ 12/2564 เมื่อวันที่ 16ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วนสำหรับสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการดำเนินชีวิต โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เช่น ธุรกิจลิสซิ่ง บัตรเครดิต หรือการให้สินเชื่อ ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน สามารถเปิดดำเนินการได้จนถึงเวลา 20.00น.และต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18ส.ค.64 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี