วันที่ 31 สิงหาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด-19ในประเทศไทยว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 14,666 ราย และเสียชีวิต 190 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการพบผู้ป่วยรายใหม่ลดต่ำลง ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตยังถือว่ามากแต่ก็นับเป็นวันแรกที่จำนวนผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 200 ราย หลังจากรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตเกิน 200 ราย เมื่อวันที่ 7 ส.ค.64 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มที่เสี่ยงเสียชีวิตมากสูงสุดยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และกลุ่มโรคเรื้อรัง และเมื่อดูกราฟแนวโน้มการติดเชื้อในปัจจุบันถือว่าขณะนี้เราผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว สอดคล้องกับโมเดลที่มีการคาดการณ์ ประกอบกับผลของมาตรการที่ทำร่วมกันทำให้การติดเชื้อลดลงนั่นเอง
สำหรับยอดรวมสะสมการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.2564 จนถึงวันที่ 30 ส.ค.25645 อยู่ที่ 31.7 ล้านโดสแล้ว แยกเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 23 ล้าน ซึ่งครอบคลุมสูงถึง 32.5% ขณะที่เข็มที่สอง ฉีดแล้วกว่า 7.7 ล้านราย คิดเป็นความครอบคลุมเข็ม 2 อยู่ที่ 10.8% ซึ่งความห่างกันนั้น เป็นที่ระยะเวลาการฉีดห่างกันด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดวัคซีน อย่างกรณีแอสตร้าฯ เข็ม 1 และ 2 จะมีระยะห่างประมาณ 3 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ไป ประเทศไทยใช้วัคซีนฉีดไขว้ เป็นสูตรหลัก คือ ซิโนแวคเข็มที่ 1 และแอสตร้าฯเข็มที่ 2 ห่างกันเพียง 3 สัปดาห์จะทำให้เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะใกล้เคียงมากขึ้น
ทั้งนี้ การครอบคลุมการได้รับวัคซีนโควิดสะสมในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-30 ส.ค.64 นั้น โดยในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ฉีดเข็มที่ 1 ครอบคลุมไปแล้ว 69.4% ส่วนจังหวัดอื่นๆ 64 จังหวัด ครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 36.2% โดยภาพรวมทั้งประเทศครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 44.7% ซึ่งเป็นทิศทางที่เราเน้นในกลุ่มที่มีความเสี่ยง เพราะเป็นกลุ่มที่หากรับเชื้อจะมีอาการรุนแรง และเสี่ยงเสียชีวิตได้ เมื่อแยกตามกลุ่มเป้าหมายพบว่า ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ครอบคลุมเข็มที่ 1 อยู่ที่ 44.7% กลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง 42% ส่วนกลุ่มหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปเข็มที่ 1 ยังครอบคลุม 7.9% ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุ มีโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์ยังคงต้องขอแนะนำให้ไปฉีดวัคซีน และเมื่อดูข้อมูล การฉีดวัคซีนในภูมิภาคอาเซียนจะพบว่าขณะนี้มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว ประมาณ 250 ล้านโดส โดยประเทศอินโดนีเซีย มีอัตราฉีดวัคซีนเป็นอันดับ 1 ประมาณ 97 ล้านโดส คิดเป็น 22.6% มาเลเซีย 34 ล้านโดส คิดเป็น 59.2% สำหรับประเทศไทย อยู่ลำดับที่ 4 มีการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 31 ล้านโดส คิดเป็น 34.8%
สำหรับกรณีมีการรายงานพบสายพันธุ์ใหม่ C.1.2 ในหลายประเทศ รวมทั้งจีนและอังกฤษ หลังพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ในเรื่องนี้ นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า โดยธรรมชาติของไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอด ทุกประเทศได้เฝ้าระวังเป็นอย่างดี แต่ขณะนี้ยังไม่พบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย ขอให้มั่นใจระบบเฝ้าระวังที่มีการตรวจพันธุกรรมของสายพันธุ์ สัปดาห์ละ 500 ตัวอย่าง เมื่อทราบว่ามีการพบสายพันธุ์ใหม่จากประเทศใด จะตรวจหาในผู้ที่เดินทางจากประเทศดังกล่าว ร่วมกับการสุ่มตรวจทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงพบสายที่ระบาดคือพันธุ์เดลต้าเป็นหลัก ส่วนการตั้งข้อสังเกตหรือสรุปว่าสายพันธุ์ C.1.2 มีความรุนแรง มีการแพร่ระบาดเร็วขึ้นหรือไม่ ดื้อต่อการรักษาและดื้อต่อวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์และระบบสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างไรขณะนี้คงเร็วไปที่จะสรุป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี