หลายเดือนที่ผ่านมา เครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวในหลายๆ ประเทศ สามารถตรวจพบแผ่นดินไหวได้บ่อยขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วแผ่นดินไหวเหล่านี้เป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก ซึ่งในภาวะปกติแล้วค่อนข้างที่จะทำการตรวจจับได้ยาก เนื่องมาจากว่าหลักการตรวจวัดแผ่นดินไหวนั้น เครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวต้องวางอยู่บนพื้นดินเพื่อวัดการสั่นสะเทือนของพื้นดินที่เกิดจากแผ่นดินไหว
ดังนั้น “การที่เมืองทั้งเมืองถูกปิดหรือล็อกดาวน์ ผู้คนสัญจรบนถนนหนทางและทำกิจกรรมในสถานที่สาธารณะกันน้อยลงจึงทำให้สัญญาณรบกวนการวัดแผ่นดินไหวก็น้อยลงตามไปด้วย” เช่น เมื่อเดือนส.ค. 2564 มีรายงานการตรวจพบแผ่นดินไหวใกล้กับกรุงเดลี เมืองหลวงของประเทศ “อินเดีย” ขนาด 3.8 ที่ความลึก 10 กิโลเมตร โดยมีระยะห่างจากใจกลางเมืองหลวง (นิวเดลี) เพียง 8 กิโลเมตร
“โดยปกติแล้วเปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดเวลา หากเรากำลังสัญจรเดินทางกันอยู่ เช่น ขับรถหรือ เดินอยู่นอกอาคาร เราจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนขนาดเล็ก แต่เมื่อชาวเมืองเดลีหยุดเดินทางไปทำงานและกิจกรรมนอกบ้าน ทำงานที่บ้าน หรือ อาศัยอยู่แต่ในบ้าน จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในกรุงเดลี สามารถรู้สึกถึงแผ่นดินไหวนี้ได้
หากเปรียบเทียบปี 2563 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ที่เคยเกิดในบริเวณใกล้กรุงนิวเดลี มีผู้รายงานความรู้สึกรับรู้การสั่นไหวจำนวนเพียง 32 รายงาน แต่ในเดือนส.ค. 2564 แผ่นดินไหวขนาด 3.8 เมื่อช่วงล็อกดาวน์ มีจำนวนคนรายงานเหตุการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 242 รายงาน ซึ่งช่วยยืนยันได้ว่า มีการตรวจวัดได้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นถี่ขึ้น แต่เป็นเพราะสัญญาณรบกวน หายไปนั่นเอง”
ในช่วง 2 ปี ตัวอย่างเมืองหลายๆ แห่งในโลกที่ได้รับทั้งผลกระทบรุนแรงจากการระบาดไวรัสโควิด-19 ซ้ำเติมด้วยภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว หรือจะเรียกว่าภัยพิบัติซ้ำซ้อนก็ได้ เช่น แผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.0 ในทะเลอีเจียน ซึ่งคั่นระหว่าง “ตุรกี-กรีซ” ในวันที่ 30 ต.ค. 2563 ทำให้เมืองชายฝั่งของสองประเทศเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 14 คน เกิดคลื่นสูงระดับ “มินิสึนามิ”พัดกระหน่ำ น้ำทะเลยกสูงพัดเข้าชายฝั่งทำให้ถนนกลายเป็นแม่น้ำไหลเชี่ยว
ด้าน “ญี่ปุ่น” มีแผ่นดินไหวใน จ.ฟุกุชิมะ เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2564 เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดนอกชายฝั่งทางตะวันออกของโทโฮกุ ขนาด 7.1 ถึง 7.3 แมกนิจูด มีศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่ง 60 กิโลเมตร ความลึกราว 51.9 กิโลเมตร หลังแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้งในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง โดย 3 ครั้งมีขนาดเกิน5.3 แมกนิจูด มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 186 คน ไฟดับมากกว่า 9 แสนครัวเรือน อาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย
สิ่งที่ชาว “โครเอเชีย” ไม่คาดฝันเมื่อเกิดแผ่นดินไหวใกล้ กรุงซาเกร็บเมืองหลวงของประเทศ ขนาด 6.3 เมื่อ 22 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 140 ปีของเมือง ทำให้อาคารได้รับความเสียหาย เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งประชาชนวิ่งหนีออกมาอยู่บนท้องถนนเด็กวัย 15 ปี โดนอาคารถล่มทับเสียชีวิต
ขณะที่ “เมียนมา ลาว และภาคเหนือของไทย” มีหลายรอยเลื่อน เมื่อเร็วๆ นี้ แผ่นดินไหวขนาด 4.8 จากรอยเลื่อนหงสาในสปป.ลาว เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2564 ที่ระดับความลึก 1 กิโลเมตร ซึ่งประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดของไทย คือ น่าน พะเยา และเชียงราย พบว่าสามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย ทั้งนี้รอยเลื่อนหงสาในลาวเคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 6.4 ซึ่งสร้างความเสียหายในปี 2562 มาแล้ว
ภัยอันน่าเศร้าสลดล่าสุดวันที่ 14 ส.ค. 2564 แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ที่ประเทศ “เฮติ” ทำให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหายนับพันหลัง มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดในบริเวณ
แหล่งอาศัยที่ผู้คนไม่หนาแน่นเท่ากับในเมืองหลวงปอร์โตแปรงซ์ (Port-au-Prince)จึงทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตน้อยกว่าแผ่นดินไหวที่เคยเกิดในเฮติเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก
“ดังนั้นสำหรับประเทศไทย ในแผนการเตรียมความพร้อมรับมือภาวะโรคระบาดโควิด-19 ควรคำนึงถึงภัยพิบัติซ้ำซ้อน จากภัยธรรมชาติประเภทอื่นๆ ที่ยังเกิดขึ้นตลอดเวลาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยแผ่นดินไหวซึ่งไม่มีคำเตือนล่วงหน้าและอาจจะย้อนกลับมาหาเราได้ทุกเมื่อเช่นกันหากเราลืมมันไป”
สำหรับการเตรียมการรับมือเกิดภัยพิบัติซ้ำซ้อนในระดับพื้นที่ สามารถดำเนินการอย่างประสานสอดคล้องกันซึ่งครอบคลุมทั้งภัยธรรมชาติและโควิด-19 เป็นการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ ความรุนแรงและการสูญเสีย เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินและพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน เช่น 1.ซักซ้อมความร่วมมือกับหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง
จัดทำข้อมูลแผนที่ชุมชน กลุ่มเปราะบางกลุ่มคนป่วยติดเตียง ข้อมูลการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อเกิดภัย เป็นต้น 2.เตรียมความพร้อมแหล่งข้อมูลและซัพพลายเชน ด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีในการกู้ภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้มากขึ้นกว่าเดิม 3.วิเคราะห์และวางแผนจุดอพยพ จุดปลอดภัยในมิติที่ครอบคลุมผู้ติดเชื้อโควิด-19 และกลุ่มเสี่ยงผู้สัมผัสคนติดเชื้อ กลุ่มเปราะบาง ที่อาจจำเป็นต้องย้ายที่อยู่
4.ใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารมาสร้างระบบเชื่อมโยงระหว่างชุมชน ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการภัยพิบัติมีประสิทธิภาพ ข้อมูลในพื้นที่มีความแม่นยำ และได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชนและทุกฝ่าย และ 5.ประสานเครือข่ายและหน่วยงานในการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านสุขภาพกายและใจ ปัจจัยสี่ คมนาคมขนส่ง การให้คำแนะนำ
ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี