สธ.รวมพลังดีเดย์24กันยายน
ระดมฉีด1ล้านเข็ม
ติดเชื้อลดแต่ยังชะล่าใจไม่ได้
ยอดรายวัน13,798ตาย144ศพ
งานศพ-แคมป์-ตลาดเสี่ยงสูง
ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ติดโควิดพุ่ง
‘อนุทิน’ลั่นระบบสธ.รับไหว
โมเดอร์นาส่งลอตแรกกลางต.ค.
ศบค.ชี้ภาพรวมติดเชื้อไทยเริ่มลด ป่วยรายวัน 13,798 คน ตาย 144 ศพ โคม่าลดเหลือ 3,994 แต่ยังห่วงติดเชื้อจริงสูงกว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะในเรือนจำ-ที่ต้องขัง “งานศพ–อีเว้นท์ –แคมป์- ตลาด” ยังเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง เตือนอย่าชะล่าใจ ล็อคดาวน์อย่างเดียวไม่พอ ต้องป้องกันตัวครอบจักรวาลด้วย “อนุทิน”ยันรับมือโควิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไหว เร่งส่งวัคซีนฉีดให้คนพื้นที่ ลั่นเจอแค่นี้ไม่หยุดหรือเลิก สธ.รวมพลังนัดประชาชนเข้ารับวัคซีนให้ได้ล้านเข็ม 24 กันยายน วันมหิดล พร้อมดีเดย์เข็ม 3 ทั่วปท. ด้าน “หมอประสิทธิ์”ห่วงมาตรการส่วนบุคคลเริ่มหย่อน วอนตั้งการ์ดสูงต่ออีก 1 เดือน และเร่งฉีดวัคซีน ชี้ถ้าจะกลับสู่ภาวะปกติต้องฉีดให้ได้ 70% สร้างภูมิคุ้มกันหมู่
เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค.แถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน รวมถึงการประเมินภาพรวมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของไทย ขณะที่จำนวนผู้ป่วยรักษาหายยังมากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่อง
ติดเชื้อ13,798หายเพิ่ม14,133คน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 13,798 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 13,325 รายมาจากระบบเฝ้าระวัง และระบบบริการ 12,117 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 1,208 ราย จากเรือนจำและที่ต้องขัง 451 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 22 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 1,420,340 ราย ผู้หายป่วยเพิ่ม 14,133 ราย ยอดรวมหายป่วยสะสม 1,277,029 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 128,546 ราย
ตาย144-/คมาลดเหลือ3,994คน
ผู้ป่วยอาการหนัก 3,994 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 806 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 144 ราย เป็นชาย 77 ราย หญิง 76 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 106 ราย มีโรคเรื้อรัง 30 ราย หญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ที่จ.นราธิวาส เสียชีวิตที่บ้าน 2 ราย ที่กทม.และสตูล โดยจังหวัดที่เสียชีวิตมากที่สุดคือ กทม. 43 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตสะสม 14,756 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนวันที่ 14 กันยายนมี 694,076 โดส ฉีดวัคซีนสะสม 41,647,101 โดส โดยเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 27,769,059 ราย คิดเป็น 38.5 ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 13,260,456 ราย คิดเป็น 18.4 ของประชากร ส่วนสถานการณ์โลกมีผู้ป่วยสะสม 226,661,161 ราย เสียชีวิตสะสม 4,662,880ราย
ติดเชื้อจริงยังสูงกว่าคาดการณ์
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ถ้าไปดูกราฟการติดเชื้อโดยรวมของประเทศ จะเห็นภาพภูเขาสูงกำลังลดลง แต่ก็มีบางพื้นที่ที่กราฟยังขึ้นอยู่ เช่น ในเรือนจำและสถานที่ต้องขัง รวมถึงจังหวัดอื่น 48 จังหวัดนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ดังนั้น จึงขอว่าทุกคนการ์ดต้องไม่ตก เพื่อจะได้ลงมากกว่านี้ และถ้าดูข้อมูลฉากทัศน์การประเมินแนวโน้มติดเชื้อในประเทศ พบว่าสถานการณ์จริงยังสูงกว่าการคาดการณ์ จำนวนผู้ติดเชื้อที่เป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ เราต้องการให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำกว่าการคาดการณ์
อย่าชะล่าใจแค่ล็อคดาวน์ไม่พอ
ดังนั้น การล็อกดาวน์อย่างเดียวไม่พอ ต้องรวมหลายมาตรการ เช่น ป้องกันส่วนบุคคลแบบครอบจักรวาล เมื่อออกจากบ้านต้องคิดเสมอว่าคนรอบข้างมีโอกาสติดเชื้อ อย่างวันเดียวกันนี้ตนเดินทางด้วยทางด่วนเห็นว่ารถเริ่มติด จึงขอให้คนที่ไม่จำเป็นลดเดินทางให้มากที่สุด มีการตั้งคำถามว่าที่เราทำเพียงพอหรือยัง ก็ขอให้ทุกคนอย่าชะล่าใจ แต่ถ้าดูฉากทัศน์สำหรับผู้เสียชีวิตจะเห็นว่าสถานการณ์จริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ร่วมมือช่วยเหลือ เราต้องให้คนจำเป็นต้องรักษา เข้าถึงการรักษาโดยเร็วเพื่อลดเสียชีวิต
งานศพ-อีเว้นท์-แคมป์-ตลาดยังเสี่ยงสูง
นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.)สรุปว่าปัจุบันยังคงมีพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อคือ งานศพ งานอีเว้นท์ ตลาด ร้านอาหาร โรงงาน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง บางทีการเลี้ยงสังสรรค์ที่ละเมิดกฎหมายเป็นกลุ่มก้อน ตรงนี้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน เช่น ถ้าอยากให้แคมป์ก่อสร้างทำงานต่อไปได้ ก็ต้องชัดเจนเรื่องมาตรการบับเบิ้ลแอนด์ซีล เพราะปัจจุบันในกทม.การติดเชื้อกลุ่มนี้มีตัวเลขเพิ่มขึ้น จากหลักหน่วยเป็นหลักสิบ
บางกอกน้อยติดเชื้อมากสุด
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน ถ้าเราไปดูการติดเชื้อเฉพาะพื้นที่กทม.ที่มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 2,772 ราย พบว่าทั้ง 50 เขตในกทม.ไม่มีเขตใดที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 100 ราย เขตที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือ บางกอกน้อย ผู้ติดเชื้อ 91 ราย รองลงมาคือ มีนบุรี 90 ราย หนองจอก 79 ราย ลาดกระบัง 76 ราย ดุสิต 73 ราย ที่เหลือก็ลดหลั่นลงมา โดยเขตที่มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดคือ เขตสัมพันธวงศ์มีผู้ติดเชื้อ 5 ราย
ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์รับมือไหว
นพ.ทวีศิลป์แถลงต่อว่า ในที่ประชุม ศปก.ศบค.หาลือกันตอนนี้ใกล้ถึงฤดูกาลท่องเที่ยวแล้ว และได้รับรายงานเรื่องการทำงานของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พบยอดจองที่พักช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม-14 กันยายนนี้ สะสม 76 วัน ประมาณ 524,221 คืน จำนวนคน 32,005 คน และพบว่าจากการตรวจหาเชื้อครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง พบผู้ติดเชื้อเพียง 91 คน ส่วนใหญ่พบเชื้อเดลต้า ส่วนการติดเชื้อใหม่ในพื้นที่ มีรายงานว่า 229 ราย มีทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในพื้นที่ภูเก็ต แต่ชาวต่างประเทศนั้นเป็นศูนย์ โดยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตคอนเฟอร์เร้นท์มาร่วมประชุม ได้รายงานว่ารับมือไหว มีสมรรถนะในการรักษาที่รองรับได้ ถึงแม้จำนวนคนป่วยและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่ง 90% แข็งแรงดี มีอาการไม่มาก อยู่ในกลุ่มสีเขียว ส่วนกลุ่มสีเหลืองสีส้มมีประมาณ 4% สีแดงประมาณ 6% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาไทยที่ภูเก็ตมากที่สุดคือ สหรัฐฯ อิสราเอล ยูเออี ยูเค เยอรมันนี ตามลำดับ
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวถึงโครงการ 7+7 ใน 3 จังหวัด เช่น สุราษฎร์ธานี ที่เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า นั้น รายงานว่า เข้าพักประมาณ 3,900 คืน จ.พังงาที่ เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เขาหลักประมาณ 1,900 คืน จ.กระบี่ ที่เกาะพีพี ไร่เลย์ เกาะไหงอีก 1,263 คืนรวม 3 จังหวัด 7, 135 คืน นี่คือช่องทางการทำให้เศรษฐกิจของคนที่พึ่งพาการท่องเที่ยวพอหายใจหายคอออกบ้าง
นายกฯสั่งเตรียมพร้อมรับนทท.ไฮซีซั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าศบค.มีแผนรับการท่องเที่ยวที่จะเปิดประเทศวันที่ 1 ตุลาคมอย่างไรบ้าง นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค.สั่งการว่า ให้มองไปถึงช่วงที่เรามีฤดูกาลท่องเที่ยวภาคปกติคือ ไตรมาส 4 ของทุกปีหรือไฮซีซั่น เพื่อดูว่าเราต้องเตรียมตัวอะไรอย่างไร ขณะที่ต้องอยู่กับโควิดไปเรื่อยๆอย่างนี้ จำเป็นต้องปรับตัว จึงให้นโยบายเป็นข้อสั่งการว่าขอให้เตรียมความพร้อม ให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ เพื่อจะได้ท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น โดยให้ไปดูในพื้นที่เพื่อประกาศพื้นที่นำร่องคือ 1.พื้นที่นำร่องท่องเที่ยวปลอดภัยจากโควิดหรือโควิดฟรี ทัวริสต์แอเรีย แซนด์บ็อกซ์ ที่มีภูเก็ตแซนบ็อกซ์ทำเป็นตัวอย่างมาแล้ว จึงมอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันพิจารณา เช่น พื้นที่เกาะ พื้นที่ที่มีสนามบิน
เล็งเปิดเกาะภูเขาทะเลเพิ่มใช้โมเดลภูเก็ต
2.ต้องมีมาตรการป้องกันควบคุม โควิดในพื้นที่นั้นๆ และต้องได้รับความเห็นชอบดำเนินการ โดยดูความพร้อมของประชาชนในพื้นที่ด้วยว่าพร้อมหรือไม่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีไม่มาก ควบคุมได้ จำนวนการฉีดวัคซีนเหมาะสม 3.มีขีดความสามารถรักษา มีเตียงมีทรัพยากรแพทย์และพยาบาลเพียงพอหรือไม่ หากเกิดการระบาดขึ้นมาจะควบคุมโรค ให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้เพียงพอ ทั้งนี้ ให้พิจารณา ระยะแรกเป็นพื้นที่นำร่องตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ถ้าพร้อมให้เปิดทดลองดำเนินการ ส่วนระยะที่สองอาจเป็นพื้นที่อื่น ซึ่งอาจเป็นช่วง 15 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายนไปแล้ว ที่อาจเปิดพื้นที่ที่พร้อมอื่นๆ เช่น ทะเลในภาคตะวันออก ภูเขาในภาคเหนือ หากพร้อมก็ให้ทดลองดำเนินการ
เร่งส่งวัคซีนคุมโควิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีมีการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นในจ.ภูเก็ต ซึ่งเปิดเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) รับนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า เราต้องเร่งควบคุมสถานการณ์ ในการประชุม ศปก.สธ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรับทราบนโยบายเกี่ยวกับแซนด์บ็อกซ์ ภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง สิ่งเร่งด่วนที่สั่งการคือ คนที่เข้ามาจากแหล่งอื่น ต้องส่งวัคซีนไปเติม อย่าไปเกี่ยงว่าเป็นคนชาติใด แต่เพื่อทำให้เกาะภูเก็ตปลอดภัย สำหรับระบบสาธารณสุขในพื้นที่นั้น ต้องชี้แจงว่า ในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น มีการรองรับหลายระดับ ตั้งแต่รพ.จังหวัด รพ.อำเภอ รพ.สต.และดูแลร่วมกันในกลุ่มจังหวัด เป็นระดับเขตสุขภาพ ซึ่งตอนนี้ได้รับรายงานว่าเขตสุขภาพที่ 11 ที่ครอบคลุมภูเก็ตนั้นพร้อมรองรับสถานการณ์
ลั่นมีระบบรับมือเจอแค่นี้ไม่เลิก
“ไม่ใช่ว่าเราเจอแค่นี้แล้วหยุดหรือยกเลิก แต่ต้องดูว่าการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นนั้น อาการหนักแค่ไหน หรือเจ็บป่วยแต่อาการไม่หนัก เป็นกลุ่มนี้ ก็ให้ทำการดูแลที่บ้าน หรือที่ชุมชน สิ่งที่เกิดขึ้นเราคาดการณ์อยู่แล้ว เพราะเมื่อเปิดกิจกรรมต่างๆในภูเก็ต ก็เหมือนห้องรับแขกของเรา เป็นที่ทำให้เห็นว่าไทยจะเปิดประเทศไปแต่ละจังหวัดๆเตรียมระบบสาธารณสุขรองรับผู้ป่วย”นายอนุทินกล่าว
พร้อมบูสเตอร์เข็ม3ให้คนพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ภูเก็ตจะกระทบแผนเปิดประเทศอื่นหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราสู้เต็มที่ไม่ให้เกิดผลกระทบ สำหรับวัคซีนเข็ม 3 ที่จะเติมเข้าไปนั้น ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่น เมื่อวันที่ 14 กันยายน นพ.โอกาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค รายงานว่าพร้อมเริ่มเข็ม 3 แล้ว ซึ่งในภูเก็ตกลุ่มบุคลากรแพทย์ได้รับเข็ม 3 ไปแล้ว ยังเหลือคนในพื้นที่ เราก็ต้องจัดวัคซีนไปให้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วย ขอให้ประชาชนที่ถึงคิวรับวัคซีนให้ไปรับด้วย ช่วยกันทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศ ทั้งนี้ นายกฯสั่งให้ทำงานเต็มที่ทุกวัน ทุกพื้นที่ ไม่เฉพาะภูเก็ตเท่านั้น ให้ดูทั้งประเทศให้ปลอดภัย เมื่อวันที่ 14 กันยายนก็อนุมัติงบซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา จากกลุ่มประเทศยุโรป มาฉีดเป็นเข็ม 3 ให้ประชาชน
ยันปีนี้ฉีดครบทั้งปท.ปี65ลุยเข็ม3
“ดังนั้น วัคซีนเรามีมากขึ้น และศักยภาพฉีดก็เพิ่มขึ้นด้วย ปีนี้จะฉีดให้ครอบคลุมคนทั้งประเทศ การจัดหาวัคซีนปี 2565 จะไม่ตึงเครียดมากนัก เพราะเน้นจัดหาวัคซีนเข็มกระตุ้น ไม่ต้องกันไว้เป็นเข็ม 2 อีก รวมถึงปีต่อไปสถานการณ์น่าจะคลี่คลาย ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้นเหมือนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดทุกปี”นายอนุทินกล่าว
24กย.รวมพลังฉีดล้านเข็ม-ดีเดย์เข็ม3
ขณะที่นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์หลังประชุมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ให้ทุกจังหวัดเตรียมแผนฉีดวัคซีนและรวมพลังนัดหมายประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ได้ 1 ล้านเข็ม (รวมวัคซีนทุกชนิดทั้งเข็มที่ 1, 2 และ 3) พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 24 กันยายน เนื่องในวันมหิดล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน” ที่ทรงมีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ด้านการแพทย์การสาธารณสุข และเพื่อประโยชน์กับประชาชน
ไทยติดเชื้อลด-25จว.ฉีดสูงอายุเกิน50%
ส่วนสถานการณ์โควิดของไทยขณะนี้ ปลัด สธ.เผยว่า แนวโน้มการติดเชื้อลดลงชัดเจน และมี 25 จังหวัดที่ฉีดวัคซีนกลุ่มผู้สูงอายุได้เกิน 50% แล้ว ได้แก่ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต ระนอง สุราษฎร์ธานี ตรัง พัทลุง ยะลา สงขลา และกทม. สามารถขับเคลื่อนฉีดวัคซีนแบบปูพรมฉีดให้ประชาชนทุกกลุ่มได้ทันที
ย้ำ5จว.เตรียมเปิดปท.เฟส2ต้นตค.
นอกจากนี้ ให้ 5 จังหวัดได้แก่ กทม. เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และชลบุรี เตรียมความพร้อมรองรับแผนเปิดประเทศระยะที่ 2 วันที่ 1 ตุลาคม และเพื่อสนับสนุนการเปิดประเทศระยะต่อไป เริ่มวันที่ 15 ตุลาคม กำหนดให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เลือกจังหวัดที่ประชาชนได้รับวัคซีนเข็ม 1 ครอบคลุม 50% มา 1 อำเภอ ซึ่งเป็นอำเภอที่ฉีดวัคซีนครอบคลุม 70% และมีตำบลหรือพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่ฉีดได้ครอบคลุม 80% รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) และสถานประกอบการดำเนินการตามแนวทาง Covid Free Setting
ห่วงมาตรการส่วนบุคคลเริ่มหย่อน
ด้านศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ว่า การเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่ามาตรการต่างๆทำได้ดี ทั้ง 3 ด้านคือ 1.มาตรการวัคซีนที่ทำได้ดี ไม่หลุดเป้าหมายการฉีดวันละ 4 แสนโดส 2.มาตรการบุคคล สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือทำได้ดี แม้มีบางส่วนที่พบไม่ได้ทำตามกำหนดอย่างที่เราเห็นการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ เช่น งานศพ และ3.มาตรการสังคมและการบริหาร เราจะพบว่าดำเนินการได้ดี มีผ่อนคลายมาตรการบ้าง เช่น นั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50% แต่ก็เห็นได้ว่าหลายร้านอาจไม่ได้ทำตามที่ตกลง เราเป็นห่วงเรื่องนี้มาก
วอนปชช.ยกการ์ดสูงต่อไปอีก1เดือน
“ทั้งนี้ การติดเชื้อใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ที่เราเริ่มผ่อนคลายมาตรการ จากที่เราดูกราฟ(plot graph) พบว่าตัวเลขคู่ขนานกับที่เราคาดการณ์ไว้ ถือเป็นกราฟที่สวย ขอให้ประชาชนที่ร่วมใจกันทำดีมาตลอด ก็อยากให้ทำดีต่อ เพื่อให้เราอยู่ในจุดที่วางใจได้ ใจผมยังอยากให้เฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะ 4 เสี่ยงที่เคยย้ำคือ คนเสี่ยง สถานที่เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยงและช่วงเวลาเสี่ยง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวันหยุดยาว ดังนั้น ขณะนี้เราผ่อนมาตรการมาแล้ว ก็เป็นการเพิ่มกิจกรรมเสี่ยง ดังนั้น ต้องเข้ม 2 เสี่ยงคือ คนและสถานที่เสี่ยง ให้ลดลงมากที่สุด ส่วนตัวเลขสำคัญในการคาดสถานการณ์คือ ผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขณะนี้ลดลงคู่ขนานกันต่อเนื่อง ทำให้เราเชื่อว่าตัวเลขติดเชื้อใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
และว่า อยากให้ทุกคนร่วมใจเฝ้าระวังต่อไปอีก 1 เดือน ตัวเลขจะแกว่งๆระดับ 1 หมื่นต่อเนื่องอีกระยะ แต่ถ้ามาตรการวัคซีน บุคคลและสังคมยังทำได้ดีต่อเนื่อง เราจะเห็นตัวเลขสวยๆ ได้ แต่ให้ผ่านพ้นเดือนตุลาคมไปก่อน ซึ่งเดือนตุลาคมจะมีวัคซีนเข้ามามากขึ้น คาดว่าถึง 20 ล้านโดส ดังนั้น วันนี้ที่เราฉีดวัคซีนกันมากกว่า 40 ล้านโดสแล้ว เมื่อรวมกับเดือนหน้าที่เราจะฉีดได้มากขึ้นทำให้สบายใจได้ แต่ยังไม่สามารถผ่อนมาตรการป้องกันตัวเองลงได้
จะกลับปกติต้องฉีด2โดสเกิน50%
ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวอีกว่า เราต้องเร่งมาตรการวัคซีนให้มากขึ้น เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ปกติเร็วที่สุด แต่ต้องทำควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลที่ต้องเข้มข้น ไม่ผ่อนไปตามมาตรการที่ผ่อนคลายไป ตัวเลขในประเทศที่เขาเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 สูงถึง 70%ของประชากร และเข็มที่ 2 ถึง 60% เป็นตัวเลขใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ว่าเข็มที่ 1 สูง 70% แต่ฉีดเข็มที่ 2 ได้ 20% ก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ปกติได้ ยืนยันว่าสำหรับเดลต้า วัคซีนเข็มเดียวเอาไม่อยู่ต้อง 2 เข็ม แม้จะเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก ก็เอาไม่อยู่ แต่สถานการณ์ปกติของไทย ยังไม่ใช่เร็วๆนี้
ติดลดต่อเนื่อง-เฝ้าระวังระบาดรอบ5
ถามว่าหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็น ขณะนี้ไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 แล้ว ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าการประเมินสถานการณ์โควิดต้องดูจากข้อมูลจริง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก ตนดูข้อมูลมาตลอด ไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อมูล โดยเฉพาะตัวเลขติดเชื้อใหม่ที่เห็นว่าลดลงต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงตรวจพบเชื้อ แต่เป็นจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล เช่น รพ.บุษราคัม ตอนนั้นเราเคยเปิดถึง 3,000 เตียง ตอนนี้เหลือไม่ถึง 100 เตียง เป็นข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น หากเราจะบอกว่าเข้าการระบาดรอบ 5 ต้องบอกว่า เฝ้าระวังการเข้าระบาดรอบ 5 จะดีกว่า เพราะตอนนี้ตัวเลขติดเชื้อและสถานการณ์ผู้ป่วยก็ลดลงจริง เราไม่ได้แอบตัวเลข เพราะที่รายงานกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยปอดอักเสบ รายงานเข้าระบบมาเพื่อจัดส่งยา เราก็รายงานตามสถานการณ์จริง ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าเข้าระบาดรอบ 5 จะย้อนแย้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะมีสายพันธุ์เข้ามาที่แพร่เชื้อเร็ว หรือรุนแรงกว่าเดิม
ถ้ายังตั้งการ์ดสูงยอดติดไม่เกินหมื่น
ส่วนเดือนตุลาคม จะเห็นตัวเลขติดเชื้อใหม่พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก 2 หมื่นรายหรือไม่นั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ต้องย้อนกลับไปดูถึงความเสี่ยงสำคัญ คือ คน สถานที่ กิจกรรมและช่วงเวลาเสี่ยง ถ้าความเสี่ยงใดเพิ่มขึ้น ก็มีสิทธิกลับมาพบการติดเชื้อสูงขึ้นได้แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลดความเสี่ยงในบุคคล ถ้าเรายังยึดการป้องกันตัวเองขั้นสูง การ์ดยังไม่ตก ตัวเลขก็คงไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว
ส่งโมเดอร์นาล็อตแรกกลางตค.
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโมเดอร์นา หลังองค์การเภสัชกรรม (อภ.)จัดประชุมติดตามความคืบหน้าส่งมอบโมเดอร์นาร่วมกับบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จํากัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายและนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นา และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยบริษัทซิลลิคฯแจ้งว่า ด้วยเกณฑ์ส่งมอบที่ต้องดำเนินการตามแนวทางของบริษัทผู้ผลิตต่างชาติ และเป็นแนวทางเดียวกับทุกประเทศที่สั่งซื้อโมเดอร์นา โดยโมเดอร์นา 1,958,400 ล้านโดส ผู้ผลิตจะส่งมอบล็อตแรกถึงไทยประมาณกลางเดือนตุลาคม และจะทยอยส่งสัปดาห์ละ 3 แสนโดส ต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนครบในไตรมาส 4 ปี 2564 ส่วนที่เหลืออีกกว่า 3 ล้านโดส บริษัทจะเร่งทยอยส่งมอบจนจบดีลไม่เกินเดือนมีนาคม 2565 ทั้งนี้ แต่ละครั้งที่ส่งมอบ บริษัทซิลลิคฯจะส่งวัคซีนให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพ ใช้เวลา 3-5 วัน ก่อนกระจายให้โรงพยาบาลเอกชน ส่วนการจัดสรรจำนวนวัคซีนที่บริษัทซิลลิคฯนำเข้ามาแต่ละครั้ง อภ.จะจัดสรร ตามสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของยอดโควต้าที่จองเข้ามาเป็นหลัก ทั้งในส่วนโรงพยาบาลเอกชนและสภากาชาดไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี