เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมงานแอปเตอร์ก็ได้มีโอกาสจัดประชุมทางไกล เพื่อเป็นตัวกลางการเจรจาต่อสัญญาการซื้อขายข้าวเทียร์ 1 ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 2 โดยมีการนัดหมายไว้แล้วตั้งแต่ในคราวประชุมครั้งที่ 1 ผมต้องชมผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้แทนเจรจาของทั้งสองฝ่ายด้วยใจจริง เพราะท่านที่มาเจรจาเป็นท่านเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อครั้งที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางฝ่ายฟิลิปปินส์ ก็คือ คุณจูดี้ บอสใหญ่สุดของ National Food authority หรือเอ็นเอฟเอ มาเอง (ส่วนมากที่ผ่านมาแกก็เล่นเองโดยไม่เคยขาดสักครั้งเดียว) ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นก็คือท่าน ผอ.กอง คุณฮากิวาราซึ่งก็คือ คนที่มานั่งประชุมคราวที่แล้ว ลักษณะการส่งผู้เข้าประชุมต่อเนื่องโดยคนคนเดิมที่เข้าประจำแบบที่ว่านี้ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีมาก มีข้อดีและประสิทธิผลดังที่ทุกคนย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว ทว่าเท่าที่เห็นในการประชุมต่างๆ ของหน่วยราชการไทยเรา มักทำไม่ค่อยได้ หรือทำได้น้อยมาก ข้อเท็จจริงของเรา คือ ในการประชุมครั้งแรก อาจมีผู้หลักผู้ใหญ่มาเองอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นในครั้งที่สองหรือสาม ก็จะให้ระดับรองๆ ลงมาเป็นตัวแทนเข้าประชุม และยิ่งการประชุมมีหลายครั้งมากเข้า ผู้ได้รับมอบหมายมาเข้าประชุมก็ยิ่งมีตำแหน่งเล็กลงเรื่อยๆ เรียกว่าผู้มาเข้าประชุมแทบจะไม่เคยซ้ำหน้า ทำความลำบากใจให้กับฝ่ายเลขานุการผู้จัดการประชุมอย่างมากที่ต้องคาดเดาว่าคนหน้าใหม่ๆ นั้นมาจากหน่วยงานใด ตัวจริงหรือตัวแทน จะให้เซ็นชื่อตรงไหน เวลาประธานในที่ประชุมสอบถามว่าที่ประชุมพร้อมหรือยัง ฝ่ายเลขาฯก็ลำบากที่จะตอบ เนื่องจากไม่คุ้นหน้าผู้มาใหม่ ปัญหาคนเข้าประชุมซ้ำหน้านี้ มีคำอธิบายว่าเพราะเหตุที่ผู้หลักผู้ใหญ่มีงานมากเสียเหลือเกิน เดี๋ยวต้องไปเข้าประชุมรายการโน้น รายการนี้ เดี๋ยวถูกเรียกตัวให้ไปรายงานจากเจ้านายชั้นใหญ่ขึ้นไป เดี๋ยวถูกเชิญไปเปิดงาน บรรยาย หรือให้นโยบายแก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด เลยไม่มีเวลาเพียงพอ ช่างน่าเห็นใจจริงๆ ที่ข้าราชการเมืองไทยมีงานหนักอึ้ง ขณะที่เงินเดือนกลับน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการมาเลเซีย สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น แต่เท่าที่สังเกตดูจากประสบการณ์การทำงานกับผู้หลักผู้ใหญ่ประเทศอื่น เขากลับมีเวลาเข้ามาประชุมกับแอปเตอร์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย น่าคิดนะครับเรื่องนี้
ก็พูดไปไกล เรื่องผู้ใหญ่เข้าประชุม ขอกลับมาเรื่องการต่อสัญญาข้าวเทียร์ 1ล่าสุด ตกลงทางฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ได้เสนอยกร่างสัญญาที่ปรับแก้ไขให้ทั้งสองฝ่ายดู ซึ่งเขาคงต้องเอาไปให้ฝ่ายกฎหมายดูอีกที แต่สิ่งหนึ่งที่ทางญี่ปุ่นกังวล คือ ผู้ลงนามว่าควรจะเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ในระดับเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน เกรงว่าทางฝ่ายฟิลิปปินส์จะไปเอาระดับรัฐมนตรีมาลงนาม เพราะจะทำให้อีกฝ่ายยุ่งยากในการไปเชื้อเชิญผู้ใหญ่ระดับนั้นมา ซึ่งไม่เหมือนตอนที่ลงนามครั้งแรกที่ประเทศเวียดนามเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ทั้งสองฝ่ายก็ใช้ระดับอธิบดีกับรองปลัดกระทรวงก็น่าจะพอเพียงแล้วซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายเลขานุการก็รับปากว่าจะพยายามล็อบบี้ทางฟิลิปปินส์ให้เป็นไปใกล้เคียงกับแนวเดิม ก็เป็นอันว่าการเจรจาครั้งที่ 2 นี้มีความคืบหน้าที่จะมีการต่อสัญญาเทียร์ 1 แต่กระนั้นที่ยุ่งยากน่าจะเป็นฝ่ายฟิลิปปินส์เสียมากกว่า เนื่องจากระเบียบภายในค่อนข้างซับซ้อน เพราะเอ็นเอฟเอ ปัจจุบันถูกโอนไปอยู่ภายใต้กระทรวงเกษตร แตกต่างจากเดิมที่อยู่ภายใต้สำนักประธานาธิบดี รวมทั้งบทบาทของเอ็นเอฟเอ ปัจจุบันได้มีการปรับโครงสร้างมิให้ทำหน้าที่นำข้าวเข้าประเทศเหมือนเดิม โดยหน้าที่การนำเข้าข้าวถูกโอนไปอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ความชัดเจนในบทบาทจึงยังคงคลุมเครืออยู่พอสมควร
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี