กรรมการโรคติดต่อไฟเขียว
ลดเวลากักตัว
รับนักท่องเที่ยว/น้อยสุด7วัน
เห็นชอบเปิดพื้นที่นำร่อง
‘ชะอำ-หัวหิน’กลางตุลาคม
โควิดทรงตัวป่วย13,256คน
ตาย131มีทารก2เดือนด้วย
กก.โรคติดต่อแห่งชาติมีมติลดวันกักตัวนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย แบบมีเงื่อนไขแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยขั้นต่ำ 7 วัน 10 วัน และ14 วัน เป็นเกณฑ์เดียวกันทุกประเทศต้นทาง เบื้องต้นต้องฉีดวัคซีนครบ 2 โดส-ตรวจหาเชื้อก่อนเข้าและก่อนออกจากสถานที่กักตัว เน้นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ไฟเขียวแผนเปิด “เพชรบุรี – ชะอำ – หัวหิน” กลางตุลาคมรับนักท่องเที่ยว เตรียมเสนอศบค.เคาะ ยอดติดโควิดยังทรงตัวที่ 13,256 ราย ตาย 131 คน มีเด็ก 2 เดือนรวมอยู่ด้วย
เมื่อวันที่ 23 กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด -19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 13,256 คน จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวัง 10,620 คน ค้นหาเชิงรุก 2,143 คน ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 478 คน มาจากต่างประเทศ 15 คน รวมผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ 1 เมษายน 1,495,750 คน หายป่วยกลับบ้าน 13,829 คน หายป่วยสะสม 1,352,936 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
โควิดคร่า131คนมีเด็ก2เดือนด้วย
สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้มี 131 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กวัย 2 เดือน 1 ราย ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดที่จ.นนทบุรี อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 60 ราย พื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ 10 ราย จังหวัดอื่นรวม 67 จังหวัด 58 ราย ในเรือนจำและที่ต้องขัง 3 ราย ทำให้มียอดเสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 15,790 ราย
ติดเชื้อ-ตายลดห่วงคลัสเตอร์เรือนจำ
ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2564 โดยมีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ นายอนุทินกล่าวว่า สถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น อัตราการติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง จำนวนผู้เสียชีวิตลดลง การรักษาพยาบาลรองรับได้ดีขึ้น การติดเชื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ และระบาดเป็นกลุ่มก้อนในเรือนจำ แต่มีการแยกกักอย่างดี ทำให้ควบคุมได้
กก.โรคติดต่อเคาะฉีดไฟเซอร์นร.12ปี
หลังประชุมนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 9/2564 หารือในประเด็นสำคัญหลายเรื่อง ได้แก่ 1.ที่ประชุมรับทราบการให้วัคซีนโควิดสำหรับเด็กนักเรียนอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดเรียนของเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในสถานศึกษา โดยมีนักเรียนที่เข้าข่ายให้วัคซีน รวม 4.5 ล้านคน โดยวัคซีนที่ใช้คือ ไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองว่าใช้ในเด็กอายุ 12ปีขึ้นไปได้ และอีกตัวหนึ่งคือ วัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา
ไตรมาส4จัดหา-ฉีดวัคซีนตามเป้า
2.รับทราบแผนให้บริการวัคซีนเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564 มีเป้าหมายให้วัคซีนกับประชาชนโดยความสมัครใจ ขณะนี้มีวัคซีนตามแผนจัดหา 125 ล้านโดส และคาดว่าจะฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมตามกลุ่มเป้าหมายเดือนธันวาคม รวมถึงที่เคยบอกว่าจะฉีดครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ถ้าเกิดตามแผนใหม่คือ ฉีดวัคซีนเข็มแรกได้มากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งจะเป็นผลดี และจะพยายามครอบคลุมให้ได้มากและเร็วที่สุด รวมถึงกลุ่มเสี่ยง
3.รับทราบความคืบหน้าการเสนอร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ. … ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการแล้ว สาระสำคัญกำหนดระบบและกลไกจัดการโรคติดต่อ ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ระบาดของโรค และเพิ่มหมวดสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เพื่อให้การเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อเป็นเอกภาพ ทันการณ์ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขั้นตอนต่อไป จะเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่ง สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพร้อมหลังกฎหมายประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
เห็นชอบลดวันกักตัวนทท.7-10วัน
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า 4.เห็นชอบปรับมาตรการผู้เดินทางมาในราชอาณาจักร หรือ การลดวันกักตัวจากเดิมที่กำหนด 14 วัน รวมถึงตรวจหาเชื้อด้วยวิธีอาร์ที-พีซีอาร์ (RT-PCR) วันนี้เห็นชอบลดวันกักตัวเหลือ 7, 10 และ 14 วัน ตามกรณี ดังนี้ 1.ผู้เดินทางทุกช่องทาง ทั้งทางบก และทางอากาศ ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือตามโดสที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด ซึ่งปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังยืนยันว่าการฉีด 2 เข็มปลอดภัย ดังนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ ผลตรวจหาเชื้ออาร์ที-พีซีอาร์ ก่อนเดินทางเป็นลบ และเมื่อมาถึงไทยต้องตรวจอีก 2 ครั้งคือ วันแรก และวันสุดท้ายก่อนออกจากสถานกักกันโรค (Quarantine) จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน 2.ผู้เดินทางช่องทางอากาศเท่านั้น แต่ไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ให้ตรวจอาร์ที-พีซีอาร์ก่อนเดินทาง เมื่อมาถึงประเทศไทยต้องตรวจอีก 2 ครั้งคือ วันแรกและวันสุดท้ายก่อนออกจากสถานกักกันโรค จะลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน และ 3.หากฉีดวัคซีนไม่ครบ และมาด้วยช่องทางอื่น เช่น ทางบกจะกักตัว 14 วัน และตรวจหาเชื้ออาร์ที-พีซีอาร์อีก 2 ครั้ง ระหว่างกักตัว
เปิดปท.กลางตค.เพชรบุรี-ชะอำ-หัวหิน
นพ.โอภาสกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแผนการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว โดยมีพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งขณะนี้เปิดในจ.ภูเก็ต ในหลายจังหวัด ส่วนแผนการเปิดต่อไปจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมในบางพื้นที่ เช่น เพชรบุรี ชะอำ หัวหิน และพื้นที่อื่นจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทั้งนี้ จะขึ้นกับสถานการณ์ระบาด การเจ็บป่วยของประชาชน อัตราครองเตียง ความสามารถระบบสาธารณสุขในการรองรับดูแลผู้ป่วย รวมถึงสถานการณ์ฉีดวัคซีนและการบริหารจัดการในพื้นที่ ซึ่งจะเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป
เด็กไทยไม่ใช่หนูลองวัคซีนไฟเซอร์
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีเครือข่ายต่างๆ คัดค้านการฉีดวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าข่ายเป็นการเอาเด็กไทยเป็นหนูทดลองให้วัคซีนต่างชาติ นพ.โอภาสกล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ผ่านการทดลองในเด็กแล้ว และ อย.รับรองแล้ว ฉะนั้น ในกรณีวัคซีนไฟเซอร์ทั้งอย.ไทย อย.สหรัฐอเมริกา อย.ในยุโรป และองค์การอนามัยโลกรับรองแล้วว่าฉีดในเด็กได้ ฉะนั้นการให้ฉีดในเด็กไทยอายุ 12-17 ปี จึงไม่ใช่หนูทดลองแน่นอน เพราะมีผู้ที่รับรองแล้ว ส่วนวัคซีนชนิดอื่นตนไม่ทราบ
ถามถึงหลักเกณฑ์การกักตัวจะใช้ดำเนินการจากผู้เดินทางจากทุกประเทศต้นทาง หรือจะมีประกาศประเทศเฉพาะ นพ.โอภาสกล่าวว่า โดยหลักจะใช้เกณฑ์เดียวกันทุกประเทศ เว้นแต่มีเหตุการณ์อื่นเพิ่มเติม จะใช้อำนาจของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเพิ่มเติมได้
ยันลดวันกักตัวไม่ทำระบาดซ้ำ
ถามถึงความกังวลของประชาชนกังวลเรื่องลดวันกักตัว เนื่องจากสายพันธุ์เดลต้าครองโลกอยู่ นพ.โอภาสกล่าวว่า คณะกรรมการวิชาการพิจารณาหลายมิติและรอบด้าน อีกทั้ง เป็นการลดวันกักตัวแบบมีเงื่อนไข คือ ฉีดวัคซีนครบโดส และตรวจหาเชื้อก่อนเข้าประเทศ ต้องมีผลเป็นลบ และตรวจหาเชื้อซ้ำอีก มาตรการกำหนดไว้ค่อนข้างรัดกุม
“การลดวันกักตัวไม่ได้ทำให้เกิดสถานการณ์การระบาดที่มากขึ้น รวมทั้งเดลต้าในไทยระบาดมากรวมถึงทั่วโลก แต่มีข้อดีทำให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดได้มากขึ้น ซึ่งมี 2 ส่วนในเชิงสัญลักษณ์ว่า พร้อมอยู่ร่วมกับโควิดคือ 1.ลดวันกักตัวจะทำให้การเดินทางระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่เรื่องท่องเที่ยว การประกอบธุรกิจ การไปเรียนศึกษาต่อ และ2.การเปิดโรงเรียน ฉะนั้นถ้าทำ 2 สิ่งนี้ได้ ก็จะเป็นตัวที่แสดงว่าควบคุมโควิดอยู่ได้ระดับหนึ่ง ไม่ได้แปลว่า ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย เพราะทั่วโลกยอมรับว่าเชื้อกลายพันธุ์ได้เรื่อยๆ การจะทำให้เชื้อหมดไปในระยะเวลาอันสั้น เป็นสิ่งยากลำบาก แต่จะปรับตัวให้อยู่ร่วมกับโรคได้อย่างไร ลดอัตราเสียชีวิต ลดป่วยหนัก เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับการมีชีวิตปกติมากยิ่งขึ้น” นพ.โอภาสกล่าว
ATKภูเก็ตผลบวก5%ส่วนใหญ่ต่างด้าว
ด้านนพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่เชิงรุก ของซีซีอาร์ ทีม (CCR Team) จากเขตสุขภาพที่ 11-12 จำนวน 9 ทีม กระจายไปพื้นที่ต่างๆ เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนที่พบคลัสเตอร์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในจ.ภูเก็ต ผลปฏิบัติการวันที่ 21-22 กันยายน 2564 รวม 2 วัน ตรวจเชื้อไป 4,174 คน พบผลบวก 212 คนหรือคิดเป็น ร้อยละ 5.07 ส่วนใหญ่เข้ารับการดูแลในระบบ HI/CI โดยผู้ที่มีอาการได้จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ทันที ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเร็ว ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ได้ฉีดวัคซีนโควิดให้กลุ่มแรงงานและคนในชุมชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 538 คน ป้องกันการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ทั้งนี้ การพบผู้ติดเชื้อในจ.ภูเก็ต ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ย้ายเข้ามาทำงานภายในพื้นที่และยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ไม่ใช่นักท่องเที่ยวจากโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์
ยันไม่กระทบภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
“ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมโครงการฯเดินทางเข้ามารวม 35,169 คน พบผู้ติดเชื้อเพียง 101 คน ยืนยันว่าไม่กระทบภาพรวมการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวจากโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เนื่องจากรัฐบาลออกแบบรูปแบบการท่องเที่ยว และมีมาตรการสาธารณสุขรัดกุม เช่น คัดกรอง ตรวจหาเชื้อ การเข้าพำนักในสถานประกอบการที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ ตามระยะเวลาที่กำหนด และนักท่องเที่ยวทุกคนต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอย่างเคร่งครัด”นพ.ยงยศกล่าว
และย้ำว่า สธ.จะเร่งควบคุมโรคภายในจ.ภูเก็ต ให้ได้โดยเร็ว และจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ฉีดไปแล้วเกือบร้อยละ 80 ของประชากรเป้าหมาย รวมถึงนัดให้ประชาชนบางส่วนที่ครบกำหนดเข้าฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน รวมถึงสื่อสารให้คนในพื้นที่เข้มงวดตามมาตรการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) และคิดว่าคนรอบข้างเสมือนเป็นผู้ติดเชื้อ เพื่อความปลอดภัยตนเอง ชุมชน สังคม นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้อย่างปลอดภัย คนในพื้นที่ใช้ชีวิตปลอดภัยภายใต้รูปแบบนิว นอร์มอล (New Normal) และเป็นจังหวัดต้นแบบของการเปิดประเทศให้กับจังหวัดอื่นๆ ต่อไป” นพ.ยงยศ กล่าว
ดีเดย์บูสเตอร์1.5หมื่น/ไม่รับวอล์กดิน
ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง และผู้อำนวยการศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีโควิด เข็มที่ 3ว่า การให้บริการวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ บูสเตอร์ โดส(Booster dose) กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ที่เคยได้รับวัคซีนสูตรซิโนแวคกับซิโนแวค ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่งจะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เป็นเข็มกระตุ้น (เข็มที่3) ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน เวลา 09.00-18.00น. เป็นต้นไป ส่วนประชาชนที่ฉีดเดือนมิถุนายนเป็นต้นไปจะทยอยจัดลำดับคิวเข้ารับวัคซีนต่อไป ทั้งนี้ จากการประมาณการณ์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะมีอยู่ประมาณ 550,000 คน ซึ่งวันพรุ่งนี้จะฉีดเข็มที่ 3 จำนวน 15,000 คน และเข็มที่ 2 อีก 15,000 รวมเป็น 30,000 คน ยืนยันไม่มีการรับวอล์ก อิน (Walk-in) ประชาชนจะได้รับข้อความสั้น (sms) ก่อนฉีดอย่างน้อย 2 วันล่วงหน้า และไม่ต้องจองหรือลงทะเบียน เนื่องจากศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อมีฐานข้อมูลของผู้เข้ารับวัคซีนอยู่แล้ว ปัจจุบันยังมีผู้ที่ตกค้างอยู่ 1,400 คน เพราะเป็นกลุ่มองค์กรนัดไปฉีด ทำให้ไม่สามารถส่งข้อความไปนัดได้
“กรณีที่ไม่สามารถไปรับวัคซีนตามวันนัดหมายได้ ให้ประชาชนที่ได้รับข้อความเข้ามารับวัคซีนภายใน 7 วัน นับจากวันที่นัดรับวัคซีน เพราะยังมีฐานข้อมูลอยู่ในระบบ โดยสามารถใช้ใบนัดเดิม หรือแสดงข้อความให้เจ้าหน้าที่ได้เลย การส่งข้อความนัดจะส่งนัดแบบเฉลี่ยรายชั่วโมงเท่าๆ กัน ป้องกันการแออัดของประชาชนที่มารอรับวัคซีน” พญ.มิ่งขวัญ กล่าว
‘หมอยง’ชี้แอสตร้าฯเข็ม3ต้านเดลต้าได้
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุ การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์โควิด – 19 ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การกระตุ้นภูมิต้านทานให้สูงขึ้นจึงจำเป็น วัคซีน covid 19 ถ้ากระตุ้นเข็ม 3 ภูมิต้านทานจะสูงขึ้นมาก การให้วัคซีนเบื้องต้น 2 เข็ม เช่น เชื้อตาย เปรียบเสมือนให้ร่างกายรู้จักเหมือนการติดเชื้อ เมื่อกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิด virus vector หรือ mRNA กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูงมาก การกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย AstraZeneca หลังได้รับ Sinovac มาแล้ว 2 เข็ม ภูมิต้านทานสูงมาก และขัดขวางสายพันธุ์เดลต้า ในการทดลองและมีระดับภูมิต้านทาน IgA ในเลือดสูงกว่าการให้เบื้องต้นอย่างมาก การตรวจในห้องปฏิบัติการ ภูมิที่สูงขึ้นสามารถขัดขวางสายพันธุ์เดลต้าได้ หลายประเทศให้วัคซีนเข็ม3กันแล้ว ประเทศไทยให้เข็ม3 ด้วยวัคซีนตามคุณสมบัติและการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันโรค
ศธ.มั่นใจโอกาสแพ้ไฟเซอร์น้อยมาก
วันเดียวกัน นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในรายการ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) พบชมรมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทยว่า ปัจจุบันรัฐบาลจัดวัคซีนให้ประชาชนฉีด 3 รูปแบบคือ วัคซีนเชื้อตาย วัคซีนเวกเตอร์ และวัคซีนเชื้อเป็น ซึ่งอย.อนุมัติให้เด็กอายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วัน หรือ 18 ปีบริบรูณ์ ฉีดวัคซีนได้ โดยวัคซีนที่อย.อนุมัติคือ ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา การฉีดวัคซีนครั้งนี้จะครอบคลุมผู้เรียนในสังกัด ศธ.ประกอบด้วย นักเรียน นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า และผู้เรียนนอกสังกัด ศธ.ด้วย เมื่อรับวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้แล้วเกิดอาการแพ้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะจ่ายค่าชดเชยให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมข้อมูล พบว่าเด็กมีโอกาสแพ้ไฟเซอร์น้อยมาก
ฉีดครู2.1แสนคนที่ตกสำรวจพร้อมนร.
ส่วนครูที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ประมาณ 210,000 คนนั้น สธ.ประสานกรมควบคุมโรค ขอให้ฉีดวัคซีนคู่ขนานกับนักเรียน ฉีดพร้อมนักเรียน แต่จะได้ฉีดวัคซีนตามที่รัฐบาลจัดสรรให้ เบื้องต้นทราบว่ามีนักเรียนชั้น ป.6 ที่อายุเกิน 12 ปี ประมาณ 360,000 คนทั่วประเทศ โดยรายชื่อเหล่านี้ได้ฉีดลำดับถัดไป อาจเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลจัดสรรวัคซีนให้นักเรียนเพียงพอ ศธ.คาดการณ์ไว้ว่านักเรียนจะได้วัคซีนครบ 2 เข็ม ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน ดังนั้น ในโรงเรียนระดับมัธยม และวิทยาลัยอาชีวศึกษา จึงมีโอกาสสูงมากที่จะได้มาเรียนในโรงเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ส่วนการฉีดวัคซีนให้นักเรียนประถมศึกษา ให้รอ อย.อนุมัติ
สหรัฐฯ-ยุโรปฉีดไฟเซอร์เด็ก3ขวบได้
ด้านนพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวเพิ่มเติมถึงความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กว่า ในสหรัฐฯ ยุโรป อนุมัติให้ฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ล่าสุดอนุมัติให้ฉีดไฟเซอร์ในเด็กที่อายุ 3 ปีขึ้นไปด้วย หมายความว่าประเทศเหล่านี้มั่นใจใช้วัคซีนกับเด็ก ส่วนคำถามว่าการฉีดไฟเซอร์มีผลข้างเคียงหรือไม่ แน่นอนว่าการฉีดวัคซีนต้องศึกษาความปลอดภัย แต่ผลศึกษาระยะสั้น พบการฉีดไฟเซอร์ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หากอ้างอิงจากข้อมูลสหรัฐฯ พบการฉีดให้กลุ่มอายุ 0-19 ปี มีโอกาสเกิดผลข้างกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และจะเจอในการฉีดเข็มที่ 2 มากกว่าเข็ม 1 โดยการฉีด 1 ล้านโดส จะพบประมาณ 20.9 ราย ที่มีผลข้างเคียง ส่วนในไทย จากการฉีดไฟเซอร์ 1 ล้านโดส พบคนมีผลข้างเคียง 1 ราย ซึ่งอาการข้างเคียงไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี