‘ปภ.’เผย23จังหวัดยังสาหัส
นํ้าท่วมอ่วม!
‘สุโขทัย’หนักสุดในรอบ10ปี
โคราชอพยพ200หลังคาเรือน
อุบลฯปักธงแดงน้ำจ่อล้นตลิ่ง
นายกฯสั่งทหารเร่งช่วยปชช.
ปภ.เตือน 23 จังหวัดเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน“สุโขทัย” อ่วมหนักในรอบ 10 ปี ด้าน “ลพบุรี” วิกฤตหลายอำเภอ ส่วนโคราช เร่งอพยพชาวบ้าน 200 หลังคาเรือน หนีมวลน้ำ ขณะที่“พิจิตร”น้ำล้นตลิ่งท่วม 3 ตำบล กว่า 300 หลัง’อุบลราชธานี’ปักธงแดงเตือนริมแม่น้ำมูล นายกฯสั่งกองทัพเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกพื้นที่
เมื่อวันที่ 28 กันยายน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)รายงานสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุ ‘เตี้ยนหมู่’ ช่วงวันที่ 23-28 กันยายน ว่า ส่งผลให้เกิดอุทกภัยใน 30 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม รวม 145 อำเภอ 584 ตำบล 2,401 หมู่บ้าน 1 เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 71,093 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 6 ราย สูญหาย 2 ราย
สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 7จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง บุรีรัมย์ นครปฐม ยโสธร และ สุรินทร์ ยังคงมีสถานการณ์อยู่ 23จังหวัด ซึ่ง ปภ.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจความเสียหายแล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นที่ 23จังหวัด ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการ เพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝนตกหนัก ปริมาณฝนสะสม โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนเมืองอาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขังระยะสั้นๆ ส่วนพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ลาดเชิงเขาอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก พื้นที่ริมลำน้ำ อาจได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งและน้ำท่วมในระดับสูง รวมทั้งระวังอันตรายจากสัตว์และแมลงมีพิษ อันตรายจากกระแสไฟฟ้า การขับขี่พาหนะบริเวณน้ำไหลผ่านเส้นทาง
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.สุโขทัย น้ำได้ท่วมเขตเศรษฐกิจใน อ.เมืองสุโขทัย และแม้ระดับน้ำจะเริ่มลดลงบ้าง แต่หลายพื้นที่ยังประสบปัญหา โดยเฉพาะหมู่ 4 ต.บ้านกล้วย ชาวบ้านต้องขนย้ายสิ่งของต่างๆ หนีน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร บางส่วนต้องกางมุ้งนอนบนถนน นอนในรถกระบะ ซึ่งน้ำท่วมครั้งนี้นับว่าหนักที่สุดในรอบ 10 ปี ถนนสายหลักตั้งแต่สี่แยกคลองโพธิ์ ไปโรงพยาบาลสุโขทัย มีน้ำท่วมสูง รถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และต้องใช้เรือในการขนย้ายผู้เสียชีวิตไปบำเพ็ญกุศล โดยการเคลื่อนย้ายเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ที่ จ.ลพบุรี สถานการณ์น้ำท่วมยังอยู่ในขั้นวิกฤต หลังจากน้ำท่วมไปแล้ว 10 อำเภอ จากทั้งหมด 11 อำเภอ ซึ่ง อ.ชัยบาดาล และ อ.บ้านหมี่ ถือเป็นอำเภอที่น้ำท่วมหนักสุดขณะนี้ ถนนหลายสายไม่สามารถสัญจรได้ โดยนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผวจ.ลพบุรีได้ลงพื้นที่ตรวจสอบใน ต.หนองกระเบียน อ.บ้านหมี่ ที่เป็นพื้นที่ซึ่งน้ำท่วมหนักที่สุด ระดับน้ำสูงเกือบ 2 เมตร ต้องใช้เรือสัญจรเข้าออก มีประชาชนเดือดร้อนกว่า 1,000 ครัวเรือน เนื่องจากอยู่ติดคลองชัยนาท-ป่าสัก จุดรับน้ำจากอำเภอต่างๆ ที่จะไหลมารวมกัน
ส่วนที่ จ.นครราชสีมา วันเดียวกัน น้ำท่วมในพื้นที่ อ.โนนไทย ทำให้ถนนสายหลัก ถนนสุรนารายณ์โคราช-ชัยภูมิ ต.จอหอ อ.โนนทัย ถูกตัดขาด หลังจากมวลน้ำไหลเข้าท่วมถนน และไหล่ทาง ลึกประมาณ 1 เมตร เป็นระยะทางยาว 5 กิโลเมตร โดยกระแสน้ำยังเข้าซัดจนรถบัสโดยสารรับส่งพนักงาน พลิกคว่ำตกไหล่ทาง ด้วย ทางกู้ภัยหน่วยฮุก31 ต้องเข้าช่วยเหลือคนขับและผู้ที่ติดอยู่ 2 คน ออกมาได้อย่างลปลอดภัย สำหรับจุดที่น้ำท่วมวิกฤตที่สุด คือหมู่บ้านลำเชียงไกร หมู่ 9 ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา มีชาวบ้านกว่า 200 หลังคาเรือน ถูกน้ำท่วมระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร ต้องอพยพออกมา หรือบางส่วนต้องขึ้นไปพักชั้น 2 ของโรงเรียน มีกู้ภัย และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ นำเรือท้องแบน และรถบรรทุกยกสูง เข้าช่วยเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ซึ่งสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะมวลน้ำอีกจำนวนมากจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร ที่มีปัญหาคันดินชำรุด มีมวลน้ำไหลทะลักลงมาเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่ จ.พิจิตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มวลน้ำจาก จ.สุโขทัย และ จ.พิษณุโลก ได้ไหลลงมาตามแม่น้ำยม ถึง อ.สามง่าม ทำให้เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนแล้วใน 3 ตำบล ได้แก่ ต.รังนก ต.กำแพงดิน และ ต.สามง่าม กว่า 313 หลังคาเรือน โดยเฉพาะหมู่ 4 บ้านเกาะสาลิกา ต.รังนก น้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านต้องใช้เรือสัญจรเข้าออก และขนย้ายสิ่งของ รวมถึงสัตว์เลี้ยง หนีน้ำไปบนถนน
อย่างไรก็ดี ทาง อบต.รังนก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว พร้อมทั้งติดตั้งไฟส่องสว่าง และไฟเตือนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนที่ ต.หอไกล อ.บางมูลนาก น้ำป่าจาก จ.เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ได้ไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรพื้นที่ 6 หมู่บ้านใน ต.หอไกล น้ำท่วม 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร และไม่สามารถระบายลงสู่แม่น้ำน่านได้ เนื่องจากแม่น้ำดังกล่าวยังมีปริมาณน้ำสูง ทางเทศบาล ต.หอไกล ต้องนำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ช่วยสูบน้ำจากบ้านเรือนประชาชนบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
อีกด้านหนึ่ง ที่ จ.ขอนแก่น ระดับน้ำในเขตเทศบาล ต.มัญจาคีรี อ.มัญจาคีรี ยังคงท่วมขังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ถนนหน้าเมือง ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร เจ้าหน้าที่ทหาร อส.และทีมกู้ภัย ต้องเร่งอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่มายังจุดปลอดภัย
นายมงคล สุขเจริญ ชาวบ้านใน อ.มัญจาคีรี กล่าวว่า เหตุน้ำท่วมครั้งนี้นับว่าหนักที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และขยายวงกว้างโดยเป็นน้ำจากไหลมาจากเทือกเขาภูเม็ง เข้าท่วมเขตเทศบาลอย่างรวดเร็ว โดยน้ำที่ไหลเข้าท่วมพื้นที่ดังกล่าวจะไหลลงบึงกุดเค้า และแม่น้ำชี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เทศบาลฯ ได้กำหนดให้วัดโพธิ์กลาง เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ประชาชนอพยพไปพักอาศัยชั่วคราว
ด้านนายสมศักดิ์ จังตระกูล ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า กำลังเจ้าหน้าที่ได้เร่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างเต็มที่ คู่ขนานกับการเร่งระบายน้ำจากเขตชุมชน ด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ผันน้ำลงสู่บึงกุดเค้าลงสู่แม่น้ำชีตลอดทั้งวัน คาดว่ามวลน้ำจากแม่น้ำชี ตามแผนการระบายน้ำของชลประทานจะเข้าพื้นที่ จ.ขอนแก่น ในประมาณ 3 วันจากนี้ จึงเตรียมการรับมือในภาพรวมของจังหวัดไว้พร้อมแล้ว
ที่ จ.อุบลราชธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีเจ้าหน้าที่นำธงแดงไปปักไว้ที่สะพานข้ามแม่น้ำมูล 100 ปี เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยริมแม่น้ำมูล เตรียมเก็บสิ่งของขึ้นที่สูง หลังจากน้ำล้นตลิ่ง เข้าท่วมบางพื้นที่ในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี และเทศบาลเมืองวารินชำราบ โดยชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวหลายครัวเรือน ได้อพยพไปอาศัยในพื้นที่ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ จัดไว้ให้แล้ว
ทั้งนี้ ทางจังหวัดอุบลราชธานีได้ประกาศแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำในแม่น้ำมูล ใกล้ล้นตลิ่ง และขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมเฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น
ขณะที่ นายจักริน ประเสริฐสุวรรณ ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 7 อุบลราชธานี กล่าวว่า ได้เฝ้าระวังปริมาณน้ำจาก จ.ชัยภูมิและนครราชสีมา โดยบูรณาการร่วมกับจังหวัดต้นน้ำบริหารจัดการในรูปแบบจราจรทางน้ำ เพื่อลดผลกระทบกับจังหวัดปลายน้ำ มีการเตรียมกำลังพลพร้อมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชนไว้พร้อมแล้ว โดยผู้ประสบภัยสามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1460ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศ พร้อมทั้งระดมเครื่องมือช่างและกระจายกำลังลงไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยใน 27 จังหวัด ครอบคลุมประชาชนกว่า 58,900 ครัวเรือน โดยจะดำเนินการจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและต่อเนื่องไปถึงการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุถึงการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเป้าหมายไม่ได้ลงไปพบปะพี่น้องประชาชน แต่เป็นการวัดพลังในพรรคพลังประชารัฐ ว่ายืนยันว่านายกฯลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมในขณะนี้ โดยรับทราบปัญหาด้วยตัวเองพร้อมเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองใดๆ จึงไม่อยากให้เล่นการเมืองบนความทุกข์ของประชาชน
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ซึ่งเกิดน้ำท่วม มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยจัดเรือตำรวจน้ำ เข้าช่วยเหลือประชาชน และตำรวจด้วยกันเอง เพื่อให้ระบบการทำงานของตำรวจยังทำงานได้ ทั้งการรับแจ้งความ การเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ การช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย โดยเฉพาะการส่งเสบียงอาหารเข้าสู่พื้นที่ประสบภัย ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบปัญหาข้อขัดข้องแต่อย่างใด แต่จะมีการประชุมติดตามการดำเนินการทุกวัน
ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีที่มีการอพยพประชาชนจะต้องจัดกำลังดูแลเรื่องความปลอดภัย และดูแลศูนย์ที่มีการนำทรัพย์สินต่างๆ มาไว้ รวมทั้งบ้านเรือนที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสซ้ำเติมปัญหาส่วนเรื่องบ้านพักตำรวจที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ก็จะจัดสรรงบประมาณในการซ่อมแซม ไม่ว่าจะในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ลพบุรี และนครราชสีมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี