เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับตำรวจภูธรเมืองน่าน หัวหน้าหน่วยงาน ที่ทำการปกครองจังหวัดน่าน อำเภอเมืองน่าน ธนารักษ์พื้นที่น่าน อพท.พื้นที่ 6 เทศบาลเมืองน่าน และสำนักจังหวัดน่าน เพื่อแก้ไขปัญหากรณีมีการร้องเรียนสื่อพบถุงยางอนามัยเกลื่อน ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดน่าน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการส่งมอบพื้นที่ให้กับ อพท.6 ในการดำเนินโครงการปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า) และบริเวณโดยรอบเพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก จะลงนามในสัญญาและส่งมอบพื้นที่ในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ส่งมอบพื้นที่ 12 ตุลาคม 2564 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ร้องสื่อตรวจสอบศาลากลาง‘น่าน’หลังเก่า หวั่นเป็นแหล่งมั่วสุม เจอจะๆ‘ถุงยาง’)
นายวิบูรณ์ กล่าวว่า หลังจากการลงนามในสัญญาแล้ว จะมีการล้อมรั้วบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ติดแสงสว่าง ภายใน 150 วัน ในระหว่างนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อส. เข้าดูแลพื้นที่ และทางตำรวจจะเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา นอกจากนี้ขอให้ธนารักษ์ ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบอาคารที่อยู่ในครอบครอง ดูแลเรื่องแสงสว่าง ตรวจตราไม่ให้มีการมั่วสุม หากมีเหตุหรือข้อมูลที่น่าสงสัยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ขอให้ตำรวจตรวจตราและกวดขันการมั่วสุมของกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากกล้องวงจรปิดที่มีอยู่อาจไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
"ขอให้ส่วนราชการที่มีกล้องวงจรปิด หันกล้องวงจรปิดออกถนนสาธารณะ ขอให้เทศบาลประสานขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าให้ช่วยหันกล้องออกถนน เพื่อจะได้ใช้ภาพจากกล้องเป็นข้อมูลในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ทั้งนี้หากประชาชนและสื่อมวลชนมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งมั่วสุม ขอให้แจ้งตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่ทราบ เพื่อเข้าไปดูแลตรวจตรามิให้ใช้พื้นที่ในทางที่ไม่เหมาะสมต่อไป"รองผู้ว่าฯน่าน กล่าว
นายวิบูรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากจุดนี้แล้ว ในจังหวัดน่านยังมีอาคารเก่าที่ทางราชการไม่ได้ใช้ประโยชน์และส่งคืนให้กรมธนารักษ์มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้แจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปสำรวจตรวจสอบ เพื่อไม่ให้ใช้เป็นสถานที่มั่วสุม ซึ่งก็ต้องช่วยกันดูแลรักษาสังคมและความเรียบร้อยในพื้นที่ด้วย และต้องขอขอบคุณทางนักข่าวนะครับที่ได้นำเสนอเพื่อจะได้เป็นภาพสะท้อนการทำงานเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาต่อไป
ขณะที่ นายวีระพงศ์ ฤทธิ์รอด หัวหน้าสำนักงานจังหวัดน่านเปิดเผยว่า จากกรณีที่มีสื่อมวลชนเสนอข่าวมีผู้เข้าไปในพื้นที่ศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่า ซึ่งมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวจังหวัดมิได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจออกลาดตระเวน และเพิ่มความถี่ในการตรวจตราสถานที่ดังกล่าวเป็นระยะ พร้อมมอบหมายเจ้าหน้าที่ อส.เฝ้าเวรยาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดส่วนราชการจังหวัดน่านเร่งวางมาตรการป้องกันการใช้ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดเป็นแหล่งมั่วสุม โดยช่วงบ่ายของวันนี้เจ้าหน้าที่นำกุญแจมาล็อกประตูทางเข้าอาคารศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่า โดยทางจังหวัดน่านล้อมคอกคุมเข้มอาคารร้างทั่วจังหวัด ป้องกันการมั่วสุมทั่วจังหวัด โดยบริเวณที่มั่วสุมดังกล่าวเป็นมุมอับสายตาอยู่ห้องทำงานชั้น 2 ฝั่งด้านขวาของตัวอาคาร มีทั้งต้นไม้บังเป็นที่ลับตาผู้ผ่านไปผ่านมารวมทั้งตอนกลางคืนยังไม่มีแสงสว่างทำให้ยากต่อการสังเกตหากมีการมั่วสุมส่วนด้านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจปรับมาตรการเข้มขึ้นมีการติดตั้งดู้แดงสายตรวจ พร้อมทั้งหมั่นตรวจตรา
ด้านนายเฉลิมพงษ์ ผู้อยู่ใกล้ศาลากลางหลังเก่า และสัญจรผ่านไปผ่านมา กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบศาลากลางหลังเก่าเป็นแหล่งมั่วสุมมานานเพราะว่าหน่วยงานไม่ได้ดำเนินการอะไรเลยส่วนกลางคืนก็รู้สึกอันตรายเพราะไม่มีแสงสว่างรวมทั้งมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม
ข่าวแจ้งว่า สำหรับศูนย์ราชการจังหวัดน่านหลังเก่า กำลังอยู่ระหว่าง ได้รับการอนุมัติงบประมาณ ประมาณ 280 ล้านบาท สัญญาผูกพัน 4 ปี เพื่อปรับปรุง ตามโครงการออกแบบปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า) เพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน และแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก โดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) 6
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี