ตุลาคมต้องฉีดวัคซีนได้ 50%
‘สธ.’เร่งเครื่อง
รองรับแผนเปิดประเทศไทย
เตือนประชาชนตั้งการ์ดแน่น
ไม่อยากให้ต้อง‘ล็อกดาวน์’อีก
ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 10,863 ดับ 68
นายกรัฐมนตรีรับทราบและยินดีที่มีการตอบรับตามนโยบายที่รัฐบาลประกาศผ่อนปรนให้กิจกรรมและกิจการทางเศรษฐกิจในบางประเภท โดยเชื่อมั่นว่า จะเป็นโอกาส
ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชน ขณะที่โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 คึกคัก ยอดจองห้องพักสะสมกว่า 1.2 แสนห้อง ตอบรับการท่องเที่ยวปลายปี ด้านปลัดสธ.ย้ำ
แม้จะมีการผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังคงต้องยึดถือมาตรการป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัด ส่วนยอดติดเชื้อโควิดรายใหม่อยู่ที่ 10,863 ราย เสียชีวิต 68 ราย
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,863 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 10,181 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 611 ราย ติดเชื้อจากผู้เดินทางต่างประเทศ 7 ราย และติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขังเพิ่ม 64 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,754,838 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563จำนวน 1,783,701 ราย หายป่วยเพิ่มวันนี้ 10,383 ราย หายป่วยสะสม1,630,212 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,657,638 ราย
มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม68ราย
ส่วนผู้เสียชีวิตรายใหม่มีจำนวน 68 คน เสียชีวิตสะสม 18,179 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 18,273 คน ส่วนผู้ป่วยรักษาอยู่ 107,790 ราย แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 41,189 ราย โรงพยาบาลสนามและอื่นๆ 66,601 ราย อาการหนัก 2,820 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 658 ราย
ขณะที่จำนวนผู้รับวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – วันที่ 16 ตุลาคม รวม 65,202,741 โดส ใน 77 จังหวัด จำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 37,446,713 ราย เข็มที่ 2 สะสม 25,825,201 ราย และเข็มที่ 3 สะสม 1,930,827 ราย
ยอดติดเชื้อภาคใต้ยังหนัก
รายงานระบุต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,863 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไม่รวมเรือนจำ 1,792 ราย 4 จังหวัดภาคใต้ ไม่รวมเรือนจำ 2,492 ราย จังหวัดอื่นๆ (67 จังหวัด) 6,508 ราย ทั้งนี้เรือนจำและที่ต้องขัง 64 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิต 68 ราย แบ่งเป็น ชาย 39 ราย หญิง 29 ราย คนไทย 67 ราย กัมพูชา 1 ราย โดยกรุงเทพมหานครเสียชีวิต 12 ราย สมุทรปราการ 4 ราย สมุทรสาครและนนทบุรีอย่างละ 1 ราย อุบลราชธานี 2 ราย สุรินทร์และศรีสะเกษอย่างละ 1 ราย ตาก กำแพงเพชรและพิษณุโลกอย่างละ 1 ราย สุราษฎร์ธานี 7 ราย ยะลาและนราธิวาสอย่างละ 4 ราย ชุมพร 3 ราย นครศรีธรรมราชและพัทลุงอย่างละ 2 ราย พังงา สงขลาและภูเก็ตอย่างละ 1 ราย ชลบุรีและระยองอย่างละ 3 ราย ลพบุรี จันทบุรีและปราจีนบุรีอย่างละ 2 ราย สระบุรี ตราด สมุทรสงคราม สระแก้ว อ่างทองและประจวบศีรีขันธ์อย่างละ 1ราย
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค อาทิ ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิดยังคงติดจากคนในครอบครัว เพื่อน คนในชุมชน อาชีพเสี่ยง การเข้าไปสถานที่แออัด ไปพื้นที่ระบาด เป็นต้น ส่วนผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 7 ราย แบ่งเป็น ฟินแลนด์ เม็กซิโกและอินโดนีเซียอย่างละ 1 ราย กัมพูชา 4 ราย
“ปลัด สธ.”ชี้ ตจว.ยอดพุ่ง กทม.ลด
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะประกาศผ่อนคลายมาตรการพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด ในเรื่องของการห้ามออกนอกเคหสถาน จากเดิมเวลา 22.00-04.00 น. มาเป็นเวลา 23.00-03.00 น. และห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร สามารถเปิดได้ถึงเวลา 22.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนกลับเข้าสู่ชีวิตตามปกติมากขึ้น แต่ย้ำว่าต้องเป็นการใช้ชีวิตปกติแบบนิวนอร์มอล คือ เข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) โดยคิดว่าผู้คนรอบข้างรวมถึงตัวเราเองอาจเป็นผู้ติดเชื้อ จึงต้องใช้การป้องกันทุกวิถีทางเพื่อลดความเสี่ยงในการรับหรือแพร่เชื้อ
ยังต้องยึดมาตรการอย่างเคร่งครัด
ขณะที่สถานประกอบการต่างๆ ขอให้ใช้มาตรการโควิด ฟรี เซตติ้ง (COVID Free Setting) โดยมีการทำความสะอาด จัดระบบระบายอากาศ เว้นระยะห่าง พนักงานเข้ารับวัคซีนครบโดส และตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) ทุก 7 วัน ส่วนผู้รับบริการมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจ ATK ซึ่งจะเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกับโรคโควิด 19 อย่างปลอดภัย
“ขณะนี้มีการผ่อนคลายมากขึ้น กิจการต่างๆ ทยอยกลับมาเปิดได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด อาจทำให้ประชาชนเริ่มวางใจ กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม ซึ่งเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง ทุกคนต้องร่วมมือกันทำทุกมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรองความเสี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อจำนวนมากและต้องปิดกิจการอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทุกคน” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
เร่งฉีดวัคซีนให้ได้50%ภายในต.ค.นี้
ปลัด สธ.กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งจัดสรรวัคซีนไปจังหวัดต่างๆ เพื่อเร่งรัดการฉีดให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 50 ของประชากร ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเตรียมรองรับการเปิดเมือง โดยเฉพาะจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยวันที่ 16 ตุลาคม 2564 สามารถฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้น 1,063,719 โดส สะสม 65,202,741โดส แบ่งเป็น เข็มแรก 37,446,713 ราย คิดเป็นร้อยละ 52 ของประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 25,825,201ราย คิดเป็นร้อยละ35.9 ของประชากร และเข็มที่ 3 จำนวน 1,930,827 ราย คิดเป็นร้อยละ2.7ของประชากร
หลายภาคส่วนตอบรับเปิดประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลงประกาศเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้เดินทางเข้าไทยโดยทางอากาศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว จากประเทศความเสี่ยงต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ หลายภาคส่วนเริ่มมีการปลดล็อก ขยายช่วงเวลาการให้บริการ เพื่อตอบรับก้าวสำคัญของรัฐ ล่าสุด สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ (ฉบับที่ 7) แจ้งสายการบินปรับเวลางดบินภายในประเทศ 23.00 น. - 03.00 น. สอดรับมาตรการลดเวลาเคอร์ฟิว พร้อมปลดล็อกให้มีจํานวนผู้โดยสารได้ตามความจุของเครื่องบินในเที่ยวบินนั้น ๆ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมนี้
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศยังทำงานร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเร่งจัดทำเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccinatio Certification) โดยวางแผนใช้ทดแทนการอนุมัติ Certification of Entry (COE) ให้ได้ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่เป็นสากล
เราเที่ยวด้วยกันเฟส3กระแสตอบรับดี
นอกจากนั้น ในส่วนโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจาก ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมโดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ ฯ เฟส 3 กว่า 6 แสนราย ผู้ประกอบการ 2,249 ราย ทำให้ยอดสะสมโครงการฯ เฟส1-3 กว่า 8.8 ล้านคน มูลค่าสะสมรวมกว่า 1,162.4 ล้านบาท และยอดจองห้องพักสะสมรวม จำนวนทั้งสิ้น 120,328 ห้อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทรงตัวและมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการออกเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้นด้วย
ผนึกกำลังพร้อมรับเปิดประเทศ
“ท่านนายกรัฐมนตรียังประกาศ ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมกันเตรียมพร้อมมาตรการรองรับการเปิดประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถที่ได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัย พร้อมต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะพลิกฟื้นและกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งระบบ” นายธนกร กล่าว
นายกฯ ปลื้มคลองโอ่งอ่างเปิดให้บริการ
นายธนกร เปิดเผยว่า กรณีการเปิดถนนคนเดิน “คลองโอ่งอ่าง” อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 นั้น นายกรัฐมนตรีรับทราบและยินดีที่มีการตอบรับตามนโยบายรัฐบาลประกาศผ่อนปรนให้กิจกรรมและกิจการทางเศรษฐกิจในบางประเภท ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า จะเป็นโอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน อย่างไรก็ดี ขอให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวังเป็นไปตามมาตรการ COVID-Free Setting ป้องกันโรคโควิด – 19 ที่รัดกุม
ยังติดตามอีกหลายโครงการ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากคลองโอ่งอ่าง ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนา จนได้รับได้รับรางวัล 2020 Asian Townscape Awards จาก โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Settlements Programme: UN-HABITAT) แล้ว ที่ผ่านมา นายกฯ ให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน โดยได้ติดตามโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบคูคลอง ของคลองต่าง ๆ ในเมืองอย่างต่อเนื่อง อาทิ คลองช่องนนทรี คลองเปรมประชากร คลองคูเมืองเดิม คลองแสนแสบ คลองผดุงกรุงเกษม และคลองรอบกรุง พื้นที่รอบคลองเหล่านี้ได้รับการพลิกฟื้นให้กลับมามีชีวิตชีวา บ้านเรือนได้รับการปรับปรุงให้สวยงาม ไม่ขวางทางน้ำ มีเขื่อนระบายน้ำ เพิ่มพื้นที่สาธารณะให้กับคนเมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพิ่มช่องทางการคมนาคม บำบัดน้ำเสีย แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างสุขภาพกายและจิตใจให้ประชาชน
จัดงานลอยกระทง19-21ก.ย.นี้
อนึ่ง ถนนคนเดินบริเวณคลองโอ่งอ่างจะเปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ระหว่างเวลา 15.00 - 20.00 น. มีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ พายเรือคายัค รับชมทัศนียภาพสองฝั่งคลอง ชมภาพสตรีทอาร์ทบนถนนคนเดิน การแสดงจากประชาชนทั่วไป และมีซุ้มขายอาหารและสินค้า ทั้งนี้ กทม. ได้จัดมาตรการตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ให้กับผู้ค้า ผู้ประกอบการและผู้ที่จัดกิจกรรมต่างๆ ทุกราย เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานทุกคน และ กทม.ได้เตรียมจัดงานวันลอยกระทงคลองโอ่งอ่าง ในระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายนนี้ ด้วย
“แรมโบ้”ชูโพลหนุนเปิดประเทศ
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวสนับสนุนผลสำรวจความคิดเห็น ซูเปอร์โพล เรื่องการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.9 เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่เลือกตัดสินใจในจุดที่เหมาะสมควบคุมโรคไปพร้อมกับการเดินหน้าปากท้อง และ ร้อยละ 73.9 ประชาชนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการจัดหาและกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงภายใต้การนำของ นายกฯประยุทธ์ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายกฯ รัฐบาล และสาธารณสุข แก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ได้ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นผลทันที แต่ขณะนี้พบว่ามีผู้ป่วยค่อยๆลดลง และมีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศไทย
ขอให้เชื่อมั่นมาตรการควบคุมโควิด
ส่วนการเปิดประเทศนั้นนอกจากจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของประเทศแล้ว ประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ภาคธุรกิจยังสามารถกลับมาทำงานมีรายได้อีกครั้ง แต่สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจในการเปิดประเทศครั้งนี้ ตนเองขอให้เชื่อมั่นว่านายกฯ รัฐบาลและสาธารณสุข จะมีมาตรการที่เข้มข้นเพื่อดูแลนักท่องเที่ยว และประชาชนคนไทย ไม่ให้เกิดการระบาดแพร่เชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีกและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
นายเสกสกล กล่าวว่า ในขณะนี้ ศบค.ก็ได้คลายล็อกหลายกิจกรรม กิจการ แล้วเพื่อสอดรับกับการเปิดประเทศที่กำลังจะมาถึง รวมถึงเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศให้ได้มากที่สุดในการสร้างภูมิคุ้มกัน และตนเองขอให้ความมั่นใจว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อรองรับกับการเปิดประเทศครั้งนี้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในประเทศด้วยในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นดินแดนแห่งความสุขมีรอยยิ้มที่สดชื่นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องทนทุกข์กลับโควิดร้ายมาเกือบสองปี
วอนทุกคนร่วมมือพลิกฟื้นประเทศ
“นายกฯ ได้กล่าวไว้เสมอว่า ลำพังนายกฯ คนเดียวคงทำไม่สำเร็จทุกเรื่องจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานตลอดจนพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่จะต้องให้ความร่วมมือช่วยกันในการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเตรียมรับการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศพลิกฟื้นกลับมาให้ได้ ประเทศไทยต้องชนะถ้าคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกัน”นายเสกสกล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี