‘บิ๊กตู่’สั่งภาครัฐจับมือเอกชน
เดินหน้าเปิดปท.
กระตุ้นการท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ
เตรียมฟื้นจัดครม.สัญจรพ.ย.นี้
กทม.ฉีดวัคซีนเข็ม2แล้ว70%
ศบค.ส่วนหน้าเร่งแก้โควิดใต้
4จว.ติดเชื้อวันเดียวพุ่ง2,027คน
ทั่วไทยป่วยต่ำ1หมื่น-ตาย71ศพ
“บิ๊กตู่”ขอภาครัฐจับมือภาคเอกชนเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พฤศจิกายน แนะเชิญศิลปินไทย ร่วมจัดคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ เตรียมจัด ครม.สัญจรนำร่องเดือนพฤศจิกายนนี้ กทม.เผยฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากกว่า 70% เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว ด้าน สปสช.เดินหน้าแจกชุดตรวจATK3 แสนชุด ให้โรงเรียน 600 แห่งทั่ว กทม. ขณะที่ “พล.อ.ณัฐพล” ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เร่งแก้ปัญหาโควิดระบาดหนัก“อนุทิน”ยันตั้งทหารนำหมอ“สธ.”มีแต่ได้กับได้ ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยลดลงเหลือต่ำกว่า1หมื่นราย เสียชีวิต 71 ราย ขณะที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังน่าเป็นห่วง ยอดป่วยรายวันมากกว่า 2 พันราย
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 รวม 9,122 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,774,071 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 10,731 ราย หายป่วยสะสม 1,651,555 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 105,546 ราย เสียชีวิต 71 ราย
4จว.ชายแดนใต้ป่วย2,027ราย
ในส่วนของ 10 อันดับจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่สูงสุด คือ 1.กรุงเทพมหานคร 1,037 ราย 2.ปัตตานี 621 ราย 3.นครศรีธรรมราช 602ราย 4.สงขลา 498ราย 5.ยะลา 455ราย 6.นราธิวาส 453ราย 7.ชลบุรี 310 ราย 8.สมุทรปราการ 299 ราย 9.ประจวบคีรีขันธ์ 238ราย 10.ระยอง 229ราย เมื่อรวม 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้ติดเชื้อรวม 2,027ราย
รมว.ท่องเที่ยวฯพาคณะหารือนายกฯ
เมื่อเวลา 08.45 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านตลาดในประเทศ นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว
บิ๊กตู่ขอให้ร่วมมือรองรับการเปิดปท.
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่จะร่วมมือกันดำเนินการอย่างเต็มที่ในการที่จะเตรียมความพร้อมเปิดประเทศตามเป้าหมายที่กำหนด ในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ โดยต้องมีการกำหนดเงื่อนไขอย่างรอบคอบชัดเจนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศต่างๆ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อตกลงระหว่างประเทศต้นทางและประเทศไทย ควบคู่กับการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางมาท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เกิดความมั่นใจในการดูแลด้านความปลอดภัยสาธารณสุข ทั้งนี้ ยังขอให้พูดคุยกับสถานประกอบการต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจตรงกันถึงความจำเป็นต่อการดำเนินมาตรการต่างๆ ของรัฐ เพื่อทุกภาคส่วนร่วมมือไปด้วยกันและปฏิบัติตามมาตรการ ให้สามารถดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยควบคู่กับการดูแลด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชนและผู้ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศด้วย
แนะดึงศิลปินไทยจัดคอนเสิร์ตปีใหม่
นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในรูปแบบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึง
การพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินไทย ศิลปินพื้นบ้านในพื้นที่ต่างๆ และกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยเหลือกลุ่มศิลปินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงสิ้นปี โดยย้ำให้ใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
เตรียมประชุมครม.ในจังหวัดนำร่อง
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ในจังหวัดนำร่องพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้พื้นที่จังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดนำร่องในการจัดประชุม ครม.สัญจร ครั้งแรกภายหลังเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 หรือไม่
กทม.ฉีดวัคซีนเข็ม2แล้ว70%
ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง – Earth Pongsakorn Kwanmuang” ระบุว่า ประชากรใน กทม.ฉีดวัคซีนเข็ม 2 แล้วเกิน 70%
การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ กทม.ที่มากถึง 7.7 ล้านคน ที่ได้เริ่มฉีดมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา เริ่มจากบุคลากรที่ทำงานส่วนหน้าเสี่ยงสัมผัสกับผู้ป่วย ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค ผู้สูงอายุ กลุ่มอาชีพเสี่ยงและประชาชนทั่วไป โดยฉีดวัคซีนทั้งใน รพ.ศูนย์ฉีดวัคซีนนอก รพ. และการฉีดวัคซีนเชิงรุกในชุมชนและเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย กทม. ได้เร่งฉีดวัคซีนเชิงรุกให้กับผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนหรือไม่สะดวกเดินทาง โดยหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ กทม. (รถ BMV) และยังบริการฉีดวัคซีนถึงบ้านให้กับผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และผู้ที่ไม่สะดวกออกจากบ้าน ที่ กทม.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยว
ทำให้ในตอนนี้ มีประชากรของ กทม.ที่ได้ฉีดวัคซีนเข็ม 1 แล้วกว่า 8,132826 ราย และมีผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว 5,437,553 ราย คิดเป็น 70.63 % ของประชากรของ กทม. โดยการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชากรได้เกิน 70% เป็นเป้าหมายสำคัญ เพื่อป้องกันความรุนแรงจากโควิด-19 และเตรียมพร้อมที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามายัง กทม. ทั้งนี้ กทม.ยังคงฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพราะวัคซีนจะช่วยป้องกันความรุนแรงหากติดเชื้อได้ ขอให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังคงปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนครับ
สปสช.แจกATK ให้รร.600แห่งทั่วกทม.
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วย พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช.และ ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงไปตรวจเยี่ยมชมการดำเนินการแจกชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) สำหรับอาจารย์-บุคลากร โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ตรวจคัดกรองโควิด-19 สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองและนักเรียน สำหรับการกลับมาเรียนในรูปแบบออนไซต์ (On site)
นพ.จเด็จ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีแนวโน้มอัตราการป่วยและเสียชีวิตที่ลดลง แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่จะมีการเปิดภาคเรียนให้เด็กนักเรียนสามารถเข้ามาเรียนที่โรงเรียนได้ ฉะนั้นการเข้าถึงชุดตรวจ ATK จะเป็นกลวิธีที่จะเข้ามาดูแล ป้องกัน และเฝ้าระวังเมื่อมีการเปิดภาคเรียน โดยการแจก ATK ให้กับกลุ่มบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯ จะมีการแจกทั้งหมด 3 แสนชุด สำหรับโรงเรียนกว่า 600 แห่ง โดยจะมีคลินิกชุมชนอบอุ่นในเครือข่ายของ สปสช. ที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานศึกษานั้นๆ เข้าไปดำเนินการแจกให้
‘บิ๊กเล็ก’ลงชายแดนใต้แก้ไขปัญหาโควิด
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ จ.ยะลา ทั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกภายหลังได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในพื้นที่ จ.สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เพื่อให้การบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสภาพเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในเขตพื้นที่ดังกล่าว หลังสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส สงขลา ปัตตานี และยะลา พุ่งสูงขึ้น จนมีสัดส่วนผู้ป่วยรายใหม่ราว 20% ของผู้ป่วยทั้งประเทศ ในช่วงกว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้นและจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สูงติด 5 อันดับแรก ของผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งประเทศ
ทั้งนี้ จะติดตามสถานการณ์จากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ โดยได้เข้าร่วมพบปะพูดคุยกับผู้นำศาสนาทั้งเจ้าคณะจังหวัดยะลา ณ วัดเวฬุวัน จากนั้นเข้าร่วมพบปะหารือกับประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด และประชุมติดตามสถานการณ์และผลการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
ประสานหลายฝ่ายสกัดเชื้อลาม
พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีตัวเลขของผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเข้ามาเพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับส่วนราชการต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการปฏิบัติราชการให้สามารถขับเคลื่อน ติดตาม สถานการณ์ เพื่อลดการติดเชื้อและบรรเทาสถานการณ์ และกำหนดแนวทางการบูรณาการ ประสานงาน ขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตาม การปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้คลี่คลายโดยเร็ว ตามนโยบาย แนวทาง หลักเกณฑ์ และมาตรการที่รัฐบาลหรือศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กำหนด
อีกทั้งร่วมมือและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ เอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเพื่อให้การดำเนินการของ ศบค.ส่วนหน้า และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“อนุทิน”ทำความเข้าใจ“ศุภชัย”แล้ว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ภท. ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า เพราะเป็นการใช้การทหารนำการสาธารณสุข ว่านายศุภชัยใช้ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการแสดงความเห็นส่วนตัวออกมา ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงกลับไปว่าเรื่องมีมากกว่านั้น ไม่ใช่เรื่องของแพทย์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคง การควบคุมสถานการณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้แพทย์และพยาบาลเข้าถึงคนไข้ และได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตนก็ได้ทำความเข้าใจกับนายศุภชัยเรียบร้อยแล้ว โดยตนได้แจ้งไปว่า ก่อนจะเขียนแสดงความเห็นอะไรให้โทรศัพท์มาถามตนก่อน
ยันตั้งทหารนำหมอ‘สธ.’มีแต่ได้กับได้
เมื่อถามว่ายืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นของนายศุภชัยไม่เป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งของนายกฯ และสามารถทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขได้ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแต่ได้ เพราะการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากไม่มีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมจะลำบาก ดังนั้น การที่หลายกระทรวง เช่น กระทรวงมหาดไทยและกองทัพเข้ามาทำงานก็ถือว่าเป็นการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน พล.อ.ณัฐพล ที่เป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็มีประสบการณ์ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 และเคยเป็น ผอ.ศบค.ศปก.มาทั้งปี ดังนั้น จึงมีแต่สิ่งที่ประชาชนจะได้จากคำสั่งของนายกฯ เราจึงต้องมีสปิริตพอที่จะรู้ว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
ปัตตานีขยายเคอร์ฟิวถึง31ต.ค.
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ยังคงพบผู้ติดเชื้อขยายวงกว้างมากขึ้น ล่าสุดทาง จ.ปัตตานี มีมติเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดปัตตานี ขยายวัน และ ปรับเวลาการห้ามออกนอกเคหสถาน จากเดิมที่เคยประกาศใช้ ห้ามไม่ให้ประชาชนออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน ตั่งแต่เวลา 22.00 น.ถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมาปรับเป็น ห้ามออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 23.00 น ถึงเวลา 03.00 น.ของวันรุ่งขึ้น จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 64 เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังปรับมาตรการเกี่ยวกับร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด และตลาดนัด โดยกำหนดให้ร้านอาหารเปิดได้ไม่เกิน 21.00 น. และห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน
สงขลาติดเชื้อสะสมทะลุ4หมื่น
รายงานข่าวจากกรรมการโรคติดต่อ จ.สงขลา เปิดเผยผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่พื้นที่ จ.สงขลา 498 คน ยอดสะสม 40,525 คน อันดับ 4 ของประเทศ และอันดับ 3 ของภาคใต้รองจาก จ.ยะลา และ จ.นครศรีธรรมราช เสียชีวิตสะสม 172 คน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยังพบมากที่สุดจากกลุ่มผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จะนะ เมือง รัตภูมิ สิงหนคร เทพา สะเดา และ อ.สะบ้าย้อย เหลืออีก 8 อำเภอ พบบ้างแต่ไม่มากนัก รองลงมากลุ่มผู้มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค กลุ่มรอการสอบสวนโรค กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในชุมชน โรงงาน ตลาด ร้านค้า และกลุ่มตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง (เอทีเค)
ปากน้ำติดเชื้อเพิ่ม299เสียชีวิต2
ขณะที่กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ รายงานว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 299 ราย ในพื้นที่ 216 ราย แบ่งเป็น อ.เมือง 94 ราย อ.บางบ่อ 5 ราย อ.บางพลี 42 ราย อ.พระประแดง 24 ราย อ.พระสมุทรเจดีย์ 39 ราย อ.บางเสาธง 12 ราย รับมารักษาใน จ.สมุทรปราการ 83 ราย และผู้เสียชีวิต 2ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี