นายกฯย้ำคิดรอบคอบแล้ว
พร้อมเปิดปท.1พ.ย.
ยันมีมาตรการคัดกรองเข้ม
ซัดคนวิจารณ์ไม่สร้างสรรค์
โควิดจว.ภาคใต้ยังลามหนัก
5จว.ติด10อันดับป่วยสูงสุด
ไทยติดเชื้อเหลือ8.9พันดับ79
ไทยติดเชื้อต่ำหลักหมื่นเหลือ 8,918 คน โคม่า 2,728 รายตาย 79 ศพ สถานการณ์ระบาดจังหวัดใต้ยังน่าห่วงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดย 5 จว.ติด 10 อันดับผู้ติดเชื้อสูงสุดของทั้งประเทศ ผลตรวจเชื้อด้วยชุด ATK ทั่วประเทศอยู่ที่ 5.4% ภาคใต้ยังมาก โดยเฉพาะ “นราฯ–ปัตตานี–ยะลา–สงขลา-นครศรีฯ–กระบี่”น่าห่วง เช่นเดียวกับ“เชียงใหม่–เชียงราย”และหลายจังหวัดอีสาน คลัสเตอร์ใหม่ผุดเป็นดอกเห็ด จากงานศพ ตลาด ชุมชน แรงงาน ศบค.จี้พื้นที่เร่งยกระดับมาตรการสกัดระบาด ระดมฉีดวัคซีนโดยเฉพาะ 4 จชต.-จว.นำร่องท่องเที่ยว นายกฯยันคิดรอบคอบความพร้อมเปิดประเทศ1พย.
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ระบาดในประเทศไทยประจำวัน ที่พบผู้ติดเชื้อต่ำกว่าหมื่นคน และเสียชีวิตต่ำกว่าร้อยคนต่อเนื่องอีกหนึ่งวัน
ติดเชื้อเพิ่ม8,918-โคมา2,728คน
พญ.สุมนีกล่าวว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 8,918 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 8,859 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 8,195 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 64 ราย มาจากเรือนจำ 41 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 18 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,811,852 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 10,878 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,689,859 ราย อยู่ระหว่างรักษา 103,507 ราย ขณะนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 2,728 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 619 ราย
กทม.แชมป์ตาย-ภาคใต้ดับรวม20คน
ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่มขึ้น 79 ราย เป็นชาย 40 ราย หญิง 39 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 49 ราย มีโรคเรื้อรัง 23 ราย และเด็กอายุ 1 เดือนเสียชีวิตที่จ.ตาก 1 ราย โดยพบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ใน กทม. 18 ราย ขณะที่พื้นที่ภาคใต้มีผู้เสียชีวิตรวมกันสูงถึง 20 ราย จากปัตตานี 8 ราย ยะลา 4 ราย นราธิวาส 3 ราย พัทลุง 2 รายสงขลา 1 ราย ชุมพร 1 ราย สุราษฎร์ธานี 1 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 18,486 ราย
4จว.ใต้พุ่ง-เชียงใหม่เชียงรายคุมเข้ม
พญ.สุมนีกล่าวอีกว่า ภาพรวมแนวโน้มติดเชื้อทั้งประเทศ ที่เป็นต่างจังหวัด 67 จังหวัด และกรุงเทพฯ ปริมณฑลลดลงชัดเจน แต่ 4 จังหวัดภาคใต้ยังเพิ่มขึ้น ส่วนผลการตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ทั่วประเทศ (ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม-20 ตุลาคม 2564) อยู่ที่ 5.4% เมื่อแยกตามเขตสุขภาพจะพบว่า เขตสุขภาพที่ 12 โดยผลตรวจย้อนหลัง 7 วันเป็นค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ จ.นราธิวาส พบ 28.3% ที่เป็นบวก ปัตตานีอยู่ที่ 20.2% ยะลาอยู่ที่ 19.5% สงขลาอยู่ที่ 10% ขณะที่เฝ้าระวังจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีจังหวัดอื่นคือ จ.นครศรีธรรมราช ผลตรวจ ATK 7 วันย้อนหลังอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 25.1% และเขตสุขภาพที่ 11 ซึ่งเป็นเขตเดียวกันนครศรีธรรมราช มีจ.กระบี่พบ 10.3% ซึ่งน่าเป็นห่วง ส่วนจังหวัดอี่นที่ยังต้องเฝ้าระวังเพิ่มมีจ.เชียงใหม่ และเชียงราย ซึ่งอยู่เขตสุขภาพที่ 1 โดยจ.เชียงรายผลตรวจ ATK เป็นบวกค่าเฉลี่ย 7 วันย้อนหลังอยู่ที่ 20.8% ส่วนจ.เชียงใหม่อยู่ที่ 11.4% และหากเป็นเขตสุขภาพที่ 2 จะมีจ.ตาก อยู่ที่ 7.1%
5จว.ใต้ติด10อันดับติดเชื้อสูงสุด
พญ.สุมณีกล่าวต่อว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 20 ตุลาคม ได้แก่ กทม. 1,020 ราย ยะลา 704 ราย ปัตตานี 520 ราย สงขลา 484 ราย สมุทรปราการ 359 ราย ชลบุรี 328 ราย เชียงใหม่ 294 ราย นราธิวาส 284 ราย นครศรีธรรมราช 266 ราย จันทบุรี 265 ราย ทั้งนี้ ภาพรวมของทั้งประเทศถือว่าลดลง มีเพียง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น และจากข้อมูลการตรวจหาเชื้อแบบ ATK พบการติดเชื้อมากในเขตสุขภาพที่ 12 ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา นอกจากนี้ ยังพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK มากในจ.นครศรีธรรมราช กระบี่ เชียงใหม่ และเชียงราย จึงขอให้ทุกจังหวัดที่มีแนวโน้มการรับนักท่องเที่ยวเพิ่มมาตรการระมัดระวัง
คลัสเตอร์งานศพ-ตลาดโผล่อื้อ
อย่างไรก็ตาม ยังพบคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้น เช่น คลัสเตอร์งานศพที่ จ.เลย อุดรธานี นครศรีธรรมราช ขอนแก่น จึงขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลใกล้ชิด ขอเน้นย้ำว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้แจกอาหารไปรับประทานที่บ้าน เนื่องจากการรับประทานอาหารร่วมกันมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ เช่นเดียวกัน ที่จ.เชียงใหม่ พบอีกหลายคลัสเตอร์ ได้แก่ คลัสเตอร์กาดเมืองใหม่ ซึ่งแพร่เชื้อไปจ.แม่ฮ่องสอน คลัสเตอร์แรงงานไม้ตัดยาง คลัสเตอร์ร้านอาหาร คลัสเตอร์บ้านพักนักเรียนประจำ คลัสเตอร์ร้านค้า ขอให้จ.เชียงใหม่เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิต
ไทยฉีดวัคซีนสะสม67.5ล้านโดส
สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนของไทยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 994,781 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้น 67,587,102 โดส ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 242,331,811 ราย เสียชีวิตสะสม 4,928,899 ราย
4จว.ใต้ยังฉีดวัคซีนต่ำกว่า50%
พญ.สุมณียังกล่าวถึงข้อมูลการฉีดวัคซีนในจังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่า มีจ.ยะลา เพียงจังหวัดเดียวที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วไปเกินร้อยละ 50 ของประชากรในจังหวัด ขณะที่การฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุ มี จ.ยะลา สงขลา นราธิวาส ที่ฉีดเกินร้อยละ 50 แล้ว หลังจากนี้กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งส่งวัคซีนเข้าไปเพื่อให้เร่งฉีดวัคซีนประชาชน
ส่งวัคซีน7แสนโดสเร่งฉีดให้17จว.นำร่อง
ขณะที่พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 15 จังหวัด หรือถ้ารวมกับจังหวัดนำร่องระยะแรก 2 จังหวัด คือ ภูเก็ต และพังงา ก็จะเป็น 17 จังหวัด ที่จะเปิดนำร่องท่องเที่ยวระยะที่หนึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งส่วนกลางส่งวัคซีนสนับสนุนไปเพิ่มเติมในจังหวัดนำร่อง กลุ่มนี้แล้ว 7 แสนโดส จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวหรือสีฟ้านั้นได้เข้ามารับการฉีดวัคซีนให้มากๆ
มี12จว.ฉีดเกินครึ่ง-3จว.ฉีดต่ำ50%
ทั้งนี้ มีการฉีดครอบคลุมประชากรทั่วไปเกินร้อยละ 50 จำนวน 12 จังหวัด ได้แก่ กทม. สมุทรปราการ กระบี่ พังงา ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี ระนอง เชียงใหม่ ระยอง ตราด โดยเหลือเพียง 3 จังหวัดที่ยังฉีดวัคซีนได้น้อยกว่า 50% ได้แก่ เลย หนองคาย อุดรธานี ส่วนการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุในจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว มี 10 จังหวัดที่ฉีดเกิน 50% แล้ว ได้แก่ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เชียงใหม่ เลย บุรีรัมย์ หนองคาย อุดรธานี ระยอง ตราด และมี 5 จังหวัดที่ฉีดเกิน 70% ได้แก่ กทม. กระบี่ พังงา ชลบุรี ระนอง ซึ่งหลังจากนี้จะเร่งส่งวัคซีนไปในพื้นที่นำร่องดังกล่าว
ยึด3หลักการเปิดปท.-เข้าปท.
พญ.สุมนีกล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กหารือเรื่องการเปิดประเทศ เพื่อที่จะปรึกษาวางแผนแนวทางการเปิดประเทศจากหน่วยงานต่างๆ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นคือ ขอพิจารณาหลักการเปิดประเทศประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.มาตรการสาธารณสุข 2. ปัจจัยเกี่ยวกับภาคเศรษฐกิจ แยกเป็น 2 เรื่อง คือ การท่องเที่ยว เรื่องที่สอง การมาทำธุรกิจในประเทศไทย 3.พิจารณาเรื่องประเทศนั้นต้องสอดคล้องมาตรการ ระหว่างประเทศให้เข้ากับไทยได้ เช่น การเข้าออกประเทศ
ย้ำเงื่อนไขหลักต้องฉีดครบ2เข็ม
“ข้อพิจารณาหลักทั้ง 3 ข้อ จะเป็นหลักพิจารณาเปิดประเทศ และรูปแบบพิจารณาเข้าประเทศนั้น แบ่งเป็น 3 รูปแบบใหญ่คือ 1.การเข้ามาในสถานที่กับการที่รัฐกำหนดให้ เหมือนที่เคยกำหนดมาแต่เดิมอยู่แล้ว ซึ่งไม่ว่าเป็นคนไทยหรือต่างชาติที่ได้รับวัคซีนไม่ครบ แล้วเข้ามาในประเทศ ก็ต้องเข้าสู่มาตรการกักกัน ไม่ว่าจะเป็น 7,10,14 วันแล้วแต่กรณี 2 .แบบแซนด์บ็อกซ์ หรือแบบพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว เพิ่งจะเกิดขึ้นในระยะที่หนึ่ง ใน 17 จังหวัดด้วย 3. แบบไม่กักตัว ซึ่งแบบที่ 2 และ 3 นั้น ต้องมีเงื่อนไขคือต้องได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็มเป็นหลัก”พญ.สุมนีกล่าว
ตรวจRT-PCRต้นทางปลายทาง
และว่า ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยที่เคยชี้แจงไว้แล้ว ต้องเป็นผู้ที่นอกจากฉีดวัคซีนครบแล้ว ต้องได้ตรวจ RT-PCR จากประเทศต้นทางว่าไม่ได้รับเชื้อ 72 ชั่วโมง ควรทำประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 เหรียญสหรัฐ และเมื่อมาถึงประเทศไทยแล้วจะต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำในวันแรกที่มาถึงทันที และเมื่อผลการตรวจเป็นลบจึงจะเดินทางต่อไปได้
ปัดศบค.ส่วนหน้าไม่ใช่รวบอำนาจ
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม และให้สัมภาษณ์หลังประชุมถึงการตั้ง ศบค.ส่วนหน้า โดยยืนยันว่า ไม่ใช่การรวบอำนาจ ทุกอย่างยังดำเนินการเหมือนเดิม โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกฯ และผอ.ศบค.ส่วนหน้า ลงไปทำหน้าที่เพียงแค่บูรณาการทำงาน เพราะเรามีกฎหมายในการทำงานอยู่แล้ว ความจริงไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของใคร เพียงแต่เข้าไปดูแลให้เกิดความทั่วถึงในเรื่องการสกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19
ย้ำเปิดรับนทท.บางปท.มีปัญหาต้องปิด
นายกฯยังกล่าวถึงการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนด้วยว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่เราจะประกาศออกไป เช่นประเทศอื่นดำเนินการที่จะเข้ามาไทย ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะเข้ามาได้ทั้งหมดขึ้นกับการหารือร่วมกันระหว่างประเทศต้นทาง ปลายทางว่ามาตรการที่เรากำหนดไป เขาตกลงด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ตกลงด้วยเขาก็ไม่เข้ามาอยู่แล้ว ครั้งแรกอาจให้เข้ามาได้ไม่กี่ประเทศ หรืออาจหลายประเทศ ทุกอย่างขึ้นกับมาตรการของเรา ที่ต้องนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ประกาศเช่นเดียวกับเรา อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องอยู่กับโควิดให้ได้ เศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามมาตรการของเราอย่างเคร่งครัด ถ้าเปิดแล้วมีปัญหาก็ต้องปิด ซึ่งเราก็ไม่อยากปิดทั้งหมด เพราะประชาชนเดือดร้อน แม้จะมีการเยียวยาก็ไม่เพียงพอ แต่เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้
ยันคิดรอบคอบความพร้อมเปิดปท.1พย.
ช่วงเย็นวันเดียวกัน ที่วิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมเปิดประเทศ ตามที่ประกาศไว้วันที่ 1 พฤศจิกายนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทำได้จริงหรือไม่ว่า การวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ไม่สร้างสรรค์ ทุกคนต้องช่วยกันทั้งภาครัฐและเอกชน ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมเดือดร้อน ขอมาตนก็ทำให้ แต่ต้องมีมาตรการและทำตาม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาตนก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ขอให้เห็นใจตนด้วย ส่วน 10 ประเทศที่ประกาศอนุญาตให้เข้า ก็แล้วแต่ละประเทศมีมาตรการอย่างไร รับได้หรือไม่กับมาตรการของไทย ไม่ใช่ว่าเปิดประเทศโครมครามให้เข้ามาทั้งหมด ตนยืนยันว่าคิดละเอียดรอบคอบแล้ว แต่ไม่อยากให้นำไปพูดติติง ทุกเรื่อง 40-50 ประเทศ ไม่ใช่ว่าจะมาพร้อมกัน ซึ่งผู้ที่เข้ามาจะเข้ามาทางอากาศมีมาตรการคัดกรอง แต่ยอมรับว่าตนรู้สึกห่วงคนในประเทศจะแพร่กระจายเชื้อในพื้นที่ ทั้งนี้ ยอมรับว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง หากวันไหน ตัวเลขสูง ตนก็ได้เตือนและสั่งการไป โดยเฉพาะการบริหารจัดการวัคซีนให้ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ วิถีชีวิตของประชาชน สำคัญที่สุดโดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัย
ตรีนุชยัน1พย.เปิดเรียนได้แน่
น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ในวันที่ 1 พฤศจิกายนว่า ศธ.ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)กำหนดเงื่อนไขรองรับเปิดภาคเรียน ซึ่งขณะนี้เงื่อนไขยังปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะแถลงความชัดเจน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ศธ.พร้อมเปิดภาคเรียนได้แน่นอน แต่ต้องดูว่าแต่ละพื้นที่จะเปิดเรียนรูปแบบใด ซึ่งโรงเรียนที่จะเปิดแบบออนไซต์ได้ ต้องผ่านกรอบมาตรฐานของสธ. ในเรื่องจำนวนครูและนักเรียนที่ฉีดวัคซีนแล้วนั้น ข้อมูลเบื้องต้นขณะนี้นักเรียนฉีดวัคซีนแล้วกว่า 40% และเร่งให้ครูที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้ได้ฉีดเพิ่มขึ้น ดังนั้น วันที่ 1 พฤศจิกายน หากโรงเรียนใดเตรียมความพร้อมผ่านกรอบมาตรฐานที่ศธ.และ สธ.กำหนดร่วมกัน จะแถลงตัวเลขสัปดาห์หน้า หากโรงเรียนใดผ่านกรอบมาตรฐานก็เปิดออนไซต์ได้ ซึ่งศธ.พยายามให้ยืดหยุ่นบนเงื่อนไขที่เน้นความปลอดภัยตามกรอบมาตรฐานจากสธ. และให้จังหวัดดูสภาพพื้นที่ว่าพื้นที่ใดเปิดเรียนแบบออนไซต์ได้ และต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น ใส่แมส เว้นระยะห่าง ก็เปิดเรียนได้ตามหลักเกณฑ์แต่ละจังหวัด
ไม่ใช้ผลตรวจATKนร.เป็นเกณฑ์
สำหรับการตรวจ ATK นักเรียน น.ส.ตรีนุชกล่วว่า เบื้องต้น ศธ.ประสานสธ.ได้ข้อสรุปว่า อาจไม่ได้นำมาใช้เป็นเกณฑ์เปิดภาคเรียน แต่จะใช้กรณีพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลังเปิดภาคเรียนไปแล้ว เด็กมีอาการก็จะนำ ATK มาตรวจ เพื่อให้แม่นยำมากขึ้น โดยการตรวจโรงเรียนต้องประสานโรงพยาบาลในพื้นที่ให้เข้ามาตรวจ ซึ่งการตรวจ ATK เป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ที่ต้องเน้นคือ ฉีดวัคซีนให้นักเรียนและครูให้ได้ตามเกณฑ์ ดังนั้น การตรวจ ATK นักเรียนต้องเสนอให้ศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาอีกครั้ง คาดว่าได้ข้อสรุปศุกร์นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี