รัฐบาลปลื้มประกันรายได้
ช่วยเกษตรกร8ล้านครัวเรือน
ครอบคลุมผลผลิตพืช5ชนิด
‘ข้าวโพด’จ่อคิวรับค่าชดเชย
‘เฉลิมชัย’เติมความเข้มแข็ง
รัฐบาลปลื้มโครงการประกันรายได้เกษตรกร ช่วยเกษตรกรได้รับประโยชน์แล้วกว่า 8 ล้านครัวเรือน ตามข้อสั่งการนายกฯ ล่าสุดก.พาณิชย์ ได้ประกาศราคาอ้างอิงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์9.45 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกษตรกรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 4.5แสนครัวเรือน ขายผลผลิตราคาสูงได้ ตั้งแต่เริ่มต้นผลผลิตปีนี้ ในขณะที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เน้นสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาว่า ได้มีมาตรการประกันราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด ทั้ง ข้าว ปาล์ม มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยในรอบ 3 ปี (พ.ศ.2562 – 2564) ที่วาระการขออนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบงบประมาณ อุดหนุน “ประกันรายได้” จ่ายส่วนต่างราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด รวมยอด 276,193 ล้านบาท ดังนี้ ข้าว 190,311 ล้านบาท ยางพารา 37,821 ล้านบาท ปาล์ม 22,186 ล้านบาท มันสำปะหลัง 20,372 ล้านบาท และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,503 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการประกันรายได้เกษตรกร เป็นการสร้างหลักประกันรายได้พื้นฐานและดูแลทุกกลุ่มประกันรายได้ข้าว ยาง พาราปาล์ม น้ำมันมันสำปะหลังและข้าวโพด ให้มีพลังก้าวต่อด้วยศักยภาพของตนเอง มีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 8 ล้านครัวเรือน
นายธนกร กล่าวว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการ “ประกันรายได้เกษตรกร” ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2564 เห็นชอบการกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 (งวดที่ 1) ดังนี้
ข้อ 1 ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 เพื่อใช้ในการชดเชยส่วนต่างตามโครงการ “ประกันรายได้เกษตรกร” ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 (งวดที่ 1) สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 และระบุวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 9.45 บาท
ข้อ 2 การชดเชยส่วนต่าง เมื่อคำนวณส่วนต่างจากราคาเป้าหมาย กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง ตามข้อ 1 แล้วราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในครั้งนี้สูงกว่าราคาเป้าหมาย (กิโลกรัมละ 8.50 บาท) จึงไม่มีการจ่ายชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกร ทำให้งวดแรกของปีที่ 3 เกษตรกรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 4.5 แสนครัวเรือน ขายผลผลิตได้ราคาสูงในการเริ่มต้นผลผลิตปีนี้
“หลักการของการประกันรายได้ขั้นต่ำ เพื่อให้เกษตรมีความมั่นคงของรายได้ แทนการแทรกแซงระดับราคาสินค้าเกษตร ลดภาระงบประมาณในการรับซื้อผลผลิตและจัดเก็บ บริหารสต็อกสินค้า ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังมีนโยบายโครงการเกษตรแปลงใหญ่ การบริหารกองทุนเพื่อการเกษตรและเงินเชื่อภาครัฐ รวมทั้งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการการผลิต แปรรูป จำหน่ายผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าสินค้าการเกษตรให้มาก พร้อมๆ ไปกับการเร่งแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วย ซึ่งแนวทางการทำงานของนายกรัฐมนตรี คือ เร่งแก้ไขปัญหาเดิม ศึกษาปัญหาปัจจุบันและวางแผนอนาคต เพื่อสร้างเข้มแข็งให้กับพี่น้องเกษตรกรไทย” นายธนกร กล่าว
วันเดียวกัน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงประเด็นการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP ของประเทศไทย ว่า ในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความพร้อมในการร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล และทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ได้ศึกษาในรายละเอียด ประเด็นผลดี ผลเสีย และความพร้อมของไทยมาโดยตลอด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอยืนยันว่า ภาคเกษตรไทยต้องไม่เสียเปรียบ โดยกรอบการเจรจาจะยึดผลประโยชน์เกษตรกรเป็นหลักถ้าหากประเทศไทยตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP ในครั้งนี้
สำหรับการจัดทำกรอบการเจรจาเพื่อรับพันธกรณีความตกลง CPTPP ในส่วนของผลต่อภาคการเกษตร มี 2 ประเด็นหลักสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องคำนึงถึง คือ ด้านพันธุ์พืช และด้านการค้าสินค้าให้กับประเทศไทย ซึ่งด้านพันธุ์พืช เงื่อนไขการเข้าร่วมความตกลง CPTPP กำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญา UPOV1991 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลในประเด็นต่างๆ อาทิ เกษตรกรไม่สามารถเก็บส่วนขยายพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ และเมล็ดพันธุ์พืชของไทยถูกผูกขาดทางการค้า ซึ่งประเด็นดังกล่าว ไทยจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวหลายปี ทั้งการทำความเข้าใจสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เกษตรกร และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การเตรียมความพร้อมภาคการเกษตร ทั้งด้านความต้องการใช้พันธุ์พืชของเกษตรกร การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการผลิตพันธุ์และการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชให้เกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรมพืชของประเทศ เพื่อรวบรวมลักษณะประจำพันธุ์ของพันธุ์พื้นเมือง สำหรับใช้อ้างอิงป้องกันไม่ให้มีการนำพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์ท้องถิ่นไปจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โดยจะต้องหารือกับทุกภาคส่วนพิจารณากำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ตามวิถีดั้งเดิมของเกษตรกร และอยู่ภายใต้ความเหมาะสมของบริบทประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมการ ดังนั้น การเจรจาในประเด็นด้านพันธุ์พืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดประเด็นที่จะเจรจาขอสงวนสิทธิ์ไว้หรือขอเว้นการปฏิบัติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ หรือเจรจาขอระยะเวลาในการปรับตัว เพื่อเตรียมความพร้อม เป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ถึงจะพร้อมปฏิบัติตามสัตยาบันอนุสัญญา UPOV1991
“ขอเรียนให้เกษตรกรทุกท่านทราบว่า การเจรจาความตกลง CPTPP ของไทย ในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญที่สุด และขอให้มั่นใจได้ว่า กระทรวงเกษตรฯ จะพิจารณาในรายละเอียดประเด็นต่าง ๆ อย่างครอบคลุมทุกมิติด้วยความรอบคอบ และหากไทยตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP กระทรวงเกษตรฯ จะมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านระยะเวลา ด้านวิชาการ เทคโนโลยี งบประมาณ บุคลากร และการสื่อสารทำความเข้าใจต่อเกษตรกรในพื้นที่ โดยข้อปฏิบัติใดที่จะส่งผลเสียต่อภาคเกษตรและเกษตรกรไทย กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะเจรจาขอสงวนสิทธิ์ไว้ หรือขอเว้นการปฏิบัติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทย ภาคเกษตรไทย และเกษตรกรไทยได้รับประโยชน์สูงสุดภายหลังเข้าร่วม CPTPP” รมว.เกษตร ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี