“ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว” เห็นได้จากในยุคสมัยก่อนที่โลกจะเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวนับสิบล้านคนมาเยือน โกยเม็ดเงินเข้าประเทศเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทต่อปี ด้วยจุดเด่นทั้งด้านทิวทัศน์ของแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ความเป็นมิตรของผู้คน ไปจนถึงอาหารที่อร่อยและหากินได้ง่ายตลอด24 ชั่วโมง ในราคาย่อมเยา อย่างไรก็ตาม “อุบัติเหตุบนท้องถนน”คือจุดอ่อนสำคัญ ดังรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO)ระบุว่า ในปี 2558 ถนนเมืองไทยอันตรายเป็นอันดับ 2 และปี 2561 อยู่ในอันดับ 9 ของโลก
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า “ล็อกดาวน์โควิดทำอุบัติเหตุลด..ปลดล็อกคืนเศรษฐกิจอุบัติเหตุก็เริ่มกลับมา” ดังข้อมูลจาก “ThaiRAP” หรือ Thailand Road Assessment Programme ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับองค์กร International Road Assessment Programme (iRAP) ที่มีภารกิจวิเคราะห์และประเมินผลความปลอดภัยของถนนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่เผยแพร่ช่วงต้นเดือนมิ.ย.2563 หรือช่วงที่ทางการไทยเริ่มคลายล็อกดาวน์เมื่อสถานการณ์โควิดระลอกแรกเริ่มดีขึ้น ระบุว่า..
“ตั้งแต่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้นับเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว สถานการณ์อุบัติเหตุบนถนนไทยที่ช่วงแรกดูเหมือนจะลดลงมาก แต่เมื่อมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ สถิติอุบัติเหตุก็เริ่มกลับมาสูงขึ้นเรื่อยๆ อาทิ จำนวนผู้เสียชีวิต 840 คน ในเดือนเม.ย. 2563เพิ่มขึ้นเป็น 1,005 คน ในเดือนพ.ค. 2563 (เพิ่มขึ้น 19.6%)ในขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ 52,141 คน ในเดือนเม.ย. 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 67,063 คน ในเดือนพ.ค. 2563 (เพิ่มขึ้น 28.6%)
นอกจากนี้ หากดูข้อมูลรายสัปดาห์ ก็จะพบชัดเจนว่าแนวโน้มความปลอดภัยทางถนนเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ และกำลังกลับคืนเข้าสู่ภาวะก่อนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. ที่ผ่านมา เรากำลังกลับสู่ Old Normal? 1 เดือนหลังล็อกดาวน์ จำนวนผู้เสียชีวิต-41% จำนวนผู้บาดเจ็บ -40% จาก Baseline, 2 เดือนหลังล็อกดาวน์ จำนวนผู้เสียชีวิต -35% จำนวนผู้บาดเจ็บ -30% จาก Baseline ข้อมูลเปรียบเทียบกับ Baseline โดยใช้ค่ามัธยฐานของข้อมูลช่วง 1 เดือน ก่อน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (25 ก.พ. 2563-25 มี.ค. 2563)”
เพื่อไม่ให้กลับไปซ้ำรอยเดิม ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนจึงต้องถูกให้ความสำคัญอย่างมากในการแก้ไข หนึ่งในนั้นคือ“การนำเทคโนโลยีมาใช้” เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดดังตัวอย่างของ 2 เมืองท่องเที่ยวชั้นนำของไทยอย่าง “ภูเก็ต-เชียงใหม่” ที่ถูกบอกเล่าในวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “แก้กรรมด้วยนวัตกรรม” จัดโดย แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งก็อยู่ในช่วงที่ไทยเริ่มกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง หลังปิดไปนานเกือบ 2 ปี
เริ่มกันที่ “ภูเก็ต” จังหวัดเกาะแดนใต้ฝั่งอันดามัน พ.ต.ท.กมลาสณ์ นิยมเขต สารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เล่าว่า จ.ภูเก็ต ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน คือ “ระบบกล้องวงจรปิดที่เฝ้าระวังด้วยซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI Software)” สำหรับตรวจจับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ขับขี่ฝ่าสัญญาณไฟแดง ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขี่จักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ไม่สวมหมวกนิรภัย (หมวกกันน็อก) เริ่มติดตั้ง 5 จุดทั่วเขตเมืองของภูเก็ต มาตั้งแต่ปี 2560 ข้อดีคือเป็นระบบที่แสดงหลักฐานชัดเจน ผู้กระทำผิดไม่สามารถโต้แย้งได้
“ทั้ง 5 จุดเป็นจุดที่ประชาชนชอบฝ่าฝืนกฎจราจร ซึ่งสามารถทำให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 55 และลดอัตราเสียชีวิตอุบัติเหตุได้อย่างมากถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งโครงการนี้ทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกมากขึ้นในการเคารพกฎจราจร และสามารถลดการขัดแย้งระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี” พ.ต.ท.กมลาสณ์ ระบุ
พ.ต.ท.กมลาสณ์ เล่าต่อไปว่า ระบบดังกล่าวใช้งบประมาณติดตั้งทั้งสิ้น 16 ล้านบาท ซึ่งพบว่า อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในปี 2561 ลดลงถึงจากปี 2560 คิดเป็นจำนวนคนคือจาก 50 ราย เหลือเพียง 37 ราย ดังนั้นเมื่อคิดเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้ถึง 69 ล้านบาท นับได้ว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นคุ้มค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วย “สร้างภาพลักษณ์ใหม่” เนื่องจากแต่เดิมนั้นพบนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูเก็ตไม่ค่อยใส่ใจปฏิบัติตามกฎจราจร ซึ่งสาเหตุมาจากการบังคับใช้กฎหมายของไทยนั้นไม่เข้มงวด แต่เมื่อมีกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งระบบตรวจจับผู้กระทำผิดเข้าไป สิ่งหนึ่งที่พบคือ “ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เริ่มกำชับให้ผู้เช่าต้องสวมหมวกนิรภัย” ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นว่า “ประเทศไทยเริ่มพัฒนาแล้ว” ด้วยการใช้เทคโนโลยี
จากภาคใต้ขึ้นไปภาคเหนือ “เชียงใหม่” ศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาค เมืองท่องเที่ยวที่โดดเด่นทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรม นพ.ธีรวุฒิ โกมุทบุตร ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ที่ปรึกษาและพี่เลี้ยง สอจร.จังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า จุดที่ติดตั้งระบบกล้องตรวจจับผู้กระทำผิด ช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตลงจากเดิมได้ถึงร้อยละ 50 อีกทั้งเพิ่มจำนวนผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่สวมหมวกกันน็อกในช่วงเวลากลางคืนได้ถึงร้อยละ 30
“ทำไมต้องเน้นช่วงกลางคืน?” นพ.ธีรวุฒิ ระบุว่า อุบัติเหตุใน จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงกลางคืน โดยพบว่ามากกว่าช่วงกลางวันถึง 3 เท่า สาเหตุมาจากทั้งดื่มจนมึนเมาขาดสติทำให้ขี่ด้วยความเร็วประกอบกับไม่สวมหมวกนิรภัย มารวมกับการเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงาน การทำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จึงนับว่าตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง
“มีการติดตั้งทั้งหมด 13 จุดเสี่ยงใน 5 อำเภอของ จ.เชียงใหม่ ใช้งบประมาณทั้ง 13 ล้านบาท แต่มีความคุ้มค่าในการจัดการจุดเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยลดงบประมาณในจัดการผู้เสียชีวิตได้ถึง7 ร้อยล้านบาท นอกจากนี้ ยังสามารถย้ายติดตั้งจุดไหนก็ได้ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากส่งสัญญาณด้วยเทคโนโลยี 5G” ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ที่ปรึกษาและพี่เลี้ยง สอจร.จังหวัดเชียงใหม่ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ศุภชัย จันทรา รองผู้กำกับการกลุ่มงานจราจร ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ชาว จ.เชียงใหม่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก โดยรถที่จดทะเบียนกับขนส่งมีประมาณ 1 ล้านกว่าคัน ซึ่งยังไม่นับประชากรแฝงและนักท่องเที่ยว ซึ่งเดิมทีจะเป็นฝ่ายตั้งรับคือ “การบังคับใช้กฎหมาย” ด้านหนึ่งตำรวจก็มักจะมีเหตุโต้แย้งกับประชาชน แต่อีกด้านพอไม่มีการตั้งด่านก็พบการฝ่าฝืนกฎจราจร
“ด้วยจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว จึงได้รับงบประมาณจากภาครัฐอย่างเต็มที่ แต่งบประมาณมุ่งเน้นที่การเกิดอาชญากรรมต่างๆ แต่ในส่วนกล้องไม่สามารถใช้เทคโนโลยีมาตรวจจับได้ ทำให้เกิดปัญหาในส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ช่วงก่อนที่จะติดตั้งกล้องอัตโนมัติระบบ AI Software จะมีผู้สวมใส่หมวกนิรภัยไม่ถึงร้อยละ 60 แต่เมื่อมีการติดตั้งกล้องและมีการประชาสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” พ.ต.ท.ศุภชัย กล่าว
ข้อมูลจาก 3 ฐานคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ระบุว่า “ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ย 2 หมื่นรายต่อปี” ขณะที่ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เคยทำการศึกษาไว้ในปี 2560 พบว่า “1 ชีวิตที่ดับสูญ เท่ากับมูลค่าทางเศรษฐกิจ 10 ล้านบาทที่สูญเสีย” ทั้งนี้ ยังไม่ต้องนับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนทุพพลภาพ กลายเป็นผู้พิการที่ทั้งรัฐและครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อดูแล
ซึ่งต้องย้ำว่า “อุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องเคราะห์กรรมโชคลาง..แต่สามารถลดความเสี่ยงได้หากไม่ประมาท” และหากมนุษย์นั้นผิดพลาดได้ตามเหตุปัจจัยต่างๆ “เทคโนโลยี” ก็เป็นตัวช่วยสำคัญ ในการกำกับดูแลให้พฤติกรรมเข้าที่เข้าทาง ดังตัวอย่างจาก 2 จังหวัดข้างต้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี