กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับไม่มีข้อมูลยืนยันว่า"บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา" หลบหนีอยู่ในประเทศใดในโลกนี้ หลังพบข้อมูลเดินทางออกไปจากประเทศไทยในปี 2560 ขณะที่ โฆษก ตร. ยืนยันใช้ช่องทางหมายแดงของตำรวจสากล ประสานข้อมูลกับประเทศสมาชิกเพื่อสืบทราบถิ่นที่อยู่
26 พ.ย.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ (หน.จต.) พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 และ พ.ต.อ. ทรงเอก พัชรวิชญ์ ผู้กำกับการฝ่ายสิทธิสัญญาและกฎหมาย กองการต่างประเทศ ร่วมแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการติดตามตัว นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถยนต์ชนตำรวจเสียชีวิต และหลบหนีไปต่างประเทศนานหลายปี
พ.ต.อ. ทรงเอก เผยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ให้ประสานกับสถานทูตฯไทยในต่างประเทศ สถานทูตฯต่างๆประจำประเทศไทย และตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โปล จำนวน 195 ประเทศ ซึ่งนายวรยุทธ ถูกออกหมายแดง นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังทำคำร้องเพื่อขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไว้แล้ว เมื่อได้รับแจ้งข้อมูลถิ่นที่อยู่ จะสามารถประกอบคำร้องเสนอให้อัยการสูงสุด ดำเนินการตามขั้นตอนได้ นอกจากนี้ยังยอมรับว่ากองการต่างประเทศ ไม่มีข้อมูลว่า นายวรยุทธไปหลบอยู่ในสถานที่ใด หลังพบข้อมูลการเดินทางออกจากประเทศไทยในปี 2560
พ.ต.อ.ทรงเอก กล่าวว่า ขณะที่ในส่วนของการดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีของนายวรยุทธ พลตำรวจโทเชษฐา ชี้แจงว่า จเรตำรวจสอบสวนเอาผิดทางวินัย กับตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีของนายวรยุทธ และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมาแล้ว 3 ชุด ช่วงระหว่างปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยมีตำรวจถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงไป รวมแล้ว 17 นาย ซึ่งในจำนวนนี้บางส่วนมีคำสั่งให้ลงทัณฑ์กักขัง และบางส่วนยุติเรื่อง และยังมีบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเท็จจริง
ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี เพิ่มเติมกับนายวรยุทธนั้น พล.ต.ต.โสภณ ชี้แจงว่า ในส่วนของการดำเนินคดีอาญาว่า ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ สอบเพิ่มเติมตามคำสั่งของอัยการ และต่อมาศาลอาญา กรุงเทพฯใต้ ออกหมายจับในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และเสพยาเสพติดโคคาอีน ประเภทที่ 2 โดยพนักงานสอบสวน ส่งหมายจับให้พนักงานอัยการ รับไปดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อนำตัวกลับมายื่นฟ้องต่อศาล
ขณะที่ พล.ต.ต.ยิ่งยศ ชี้แจงประเด็นที่คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาระบุว่า ตำรวจไม่มีงบประมาณเพียงพอในการบินไปจับตัวนายวรยุทธ ที่ต่างประเทศนั้น ข้อเท็จจริงคือ การติดตามตัวนายวรยุทธ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ใช้ช่องทางการส่งหมายแดงประสานกับตำรวจสากล อีกทั้ง ตำรวจไทยไม่สามารถนำกำลังเข้าไปจับตัว นายวรยุทธ ที่ต่างประเทศได้ เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย ดังนั้น หน้าที่ของกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำได้เพียงการขอความร่วมมือยังตำรวจสากล เพื่อสืบสวนถิ่นที่อยู่ของผู้ต้องหา และใช้ช่องทางการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนผ่านอัยการสูงสุด ซึ่งการที่จะมีงบประมาณหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการจับนายวรยุทธ เพราะถึงมีงบประมาณก็ไม่สามารถไปจับตัวนายวรยุทธในประเทศอื่นได้
นอกจากนี้ พล.ต.ต.ยิ่งยศ ยังยอมรับว่า มีการสอบถามไปยังประเทศออสเตรีย ว่านายวรยุทธอาศัยอยู่ในประเทศหรือไม่ ทางประเทศออสเตรีย ยังไม่ได้ตอบกลับ อีกทั้งรายชื่อของนายวรยุทธ ยังไม่ปรากฏในฐานข้อมูลของตำรวจสากลในประเทศออสเตรีย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังอยู่ระหว่างการรอประเทศออสเตรียประสานข้อมูลกลับมา โดยขณะนี้ตำรวจสากลของไทยได้ อัพเดทข้อมูลระบบไบโอเมตริกของนายวรยุทธ เข้าสู่ระบบของสมาชิกตำรวจสากลแล้ว
ทั้งนี้ยอมรับว่าหนังสือเดินทางของนายวรยุทธกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ยกเลิกไปแล้ว แต่ทั้งนี้ หากนายวรยุทธ จะใช้หนังสือเดินทางของประเทศอื่น คงไม่สามารถก้าวล่วงได้ อย่างไรก็ตามจะพยายามนำตัวนายวรยุทธ กลับมาดำเนินคดี ก่อนที่คดีขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต จะหมดอายุความในปี 2570 และคดีเสพยาเสพติด หมดอายุความในปี 2565
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี