ไขที่มาชื่อโอไมครอน!‘หมอยง’ชี้อย่าเชื่อเฟคนิวส์ ย้ำผู้รับวัคซีนโควิดบริจาคเลือดได้

ไขที่มาชื่อโอไมครอน!‘หมอยง’ชี้อย่าเชื่อเฟคนิวส์ ย้ำผู้รับวัคซีนโควิดบริจาคเลือดได้

วันอาทิตย์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564, 08.38 น.

ไขที่มาชื่อโอไมครอน!‘หมอยง’ชี้อย่าเชื่อเฟคนิวส์ ย้ำผู้รับวัคซีนโควิดบริจาคเลือดได้

28 พฤศจิกายน 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้...


โควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529

ยง ภู่วรวรรณ  27 พฤศจิกายน 2564

ไวรัสสายพันธุ์ที่พบใหม่นี้ เป็นสายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้ องค์การอนามัยโลกตั้งชื่อสายพันธุ์นี้ว่า “โอไมครอน”

โดยก่อนหน้านี้มีการตั้งชื่อก่อน เป็น นู (Nu) ผมเองก็แปลกใจ ที่จริงภาษากรีก ตัว N  จะต้องอ่านว่า นิว  (อังกฤษ: nu) หรือ นี (กรีก: νι, ตัวใหญ่ Ν, ตัวเล็ก ν) เป็นอักษรกรีกตัวที่ 13 ไม่ใช่อ่านว่า นู

ในสมัยก่อนการตั้งชื่อไม่ว่าจะเป็นไวรัส ชื่อโรค เรามักจะใช้สถานที่ เช่น สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ชื่อสัตว์ เช่น ไข้หวัดหมู เป็นต้น

ต่อมาพบว่าการใช้ดังกล่าวตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ถ้าจะเรียกจริงๆก็จะต้องเรียกว่าไข้หวัดใหญ่อเมริกันหรือไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก เพราะพบครั้งแรกที่อเมริกา โดยมาจากเม็กซิโก อเมริกันเองไม่ยอม เพราะเหมือนเป็นตราบาปของสถานที่ ก็เลยต้องเรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 

ต่อมา covid-19 เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น แม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ยังจะเรียกว่าปอดบวมจีน หรือเน้นคำว่าจีน จะเรียกโรคปอดบวมอู่ฮั่น ทางจีนก็คงไม่ยอม องค์การอนามัยโลกเลยตั้งชื่อเป็นตัวย่อของเชื้อไวรัสที่ก่อโรคเพื่อไม่ให้เกิดตราบาปต่อสถานที่

องค์การอนามัยโลกตั้งใจที่จะตั้งชื่อสายพันธุ์ของไวรัสก่อโรค COVID  โดยใช้พยัญชนะภาษาลาตินเรียงลำดับ ดังนั้น เรียงลำดับไปถึงโอไมครอน หรือเขียนเป็นตัว Ο ο  อ่านว่า โอไมครอน

การตั้งชื่อไวรัสโควิด- 19 ที่มีการกลายพันธุ์ องค์การอนามัยโลกจะเป็นผู้ตั้งชื่อขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนเรียกเหมือนกัน ไม่ใช่ตั้งชื่อกันเอง

 

นอกจากนี้ นพ.ยง ยังโพสต์หัวข้อ “โควิด 19 วัคซีน กับการบริจาคโลหิต” มีเนื้อหาดังนี้

โควิด 19 วัคซีน กับการบริจาคโลหิต

ยง ภู่วรวรรณ  28 พฤศจิกายน 2564

จากกรณีที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ วิกฤติเริ่มขาดแคลนเลือด แต่เนื่องจากเลือดของผู้บริจาคที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 มีสีดำคล้ำ ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้ ทำให้ผู้บริจาคโลหิตและประชาชน เกิดความเข้าใจผิด และความกังวล ส่งผลกระทบ ต่อโรงพยาบาลที่ต้องใช้โลหิตในการรักษาผู้ป่วย เป็นอย่างมาก

ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ว่าจะเป็นวัคซีนโควิด 19  ชนิดไหนก็ตาม หรือวัคซีนอื่นๆ เช่นไข้หวัดใหญ่ สามารถบริจาคโลหิตได้แน่นอน ที่บอกว่าโลหิตเป็นสีดำคล้ำ ก็ไม่เป็นความจริง การบริจาคโลหิตจะใช้เลือดจากหลอดโลหิตดำ สีจะคล้ำกว่าเลือดจากหลอดโลหิตแดง เพราะปริมาณออกซิเจนในเลือด ของเลือดที่มาจากโลหิตแดง มีมากกว่าก็จะทำให้เลือดสีแดงกว่า เลือดที่มาจากหลอดเลือดดำ

แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำแบบที่เป็นข่าว

ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ถึงแม้จะเป็นโควิด 19 หรือวัคซีนอื่นใด สามารถบริจาคได้ หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว 7 วัน ที่กำหนดไว้ 7 วันเพราะหลังให้วัคซีน  บางคนอาจจะมีอาการข้างเคียง เช่น มีไข้ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ เพียงแต่รอให้หาย สบายดี ก็สามารถบริจาคได้ ถ้ายังไม่หายอาจจะช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร เมื่อพร้อมสามารถบริจาคได้ทันที ไม่ได้มีข้อห้ามแต่อย่างใด

ผู้ที่บริจาคเลือดแล้ว ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ควรที่จะไปฉีดวัคซีน ในวันที่บริจาคเลือด รอวันรุ่งขึ้นที่ร่างกายพร้อม แล้วก็ไปฉีดวัคซีนได้เลย หรือถ้าเพลียมากก็เว้นอีกสัก 1 วันก็ได้ ไม่ได้มีข้อห้ามอย่างใด

ขณะนี้ทางศูนย์บริการโลหิต มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เลือดเป็นจำนวนมาก การมีข่าวดังกล่าว จะทำให้คนเข้าใจผิด ไม่ไปบริจาคโลหิต โดยเฉพาะในช่วงรณรงค์การฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก อย่างในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้

ขอยืนยันว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไร สามารถบริจาคโลหิตได้ที่ร่างกายสบายดี ผ่านพ้นระยะเวลาที่สังเกตอาการ ว่าจะมีอาการแพ้วัคซีนหรือไม่ ถ้าจะสบายใจก็ประมาณ 1 สัปดาห์ และที่ว่าเลือดเป็นสีดำคล้ำ ก็ไม่เป็นความจริง กรุณาอย่าแพร่ข่าวไม่จริงออกไป จะมีผลต่อผู้ป่วยจำนวนมากที่กำลังรอรับโลหิตอยู่

#หมอยง

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top