ใกล้จะครบ 2 ปีแล้วกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” หากนับจากช่วงส่งท้ายปีเก่า 2562-ต้อนรับปีใหม่ 2563 ที่พบการระบาดในเมือง
อู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนจะลามไปทั่วโลก มาจนถึงปัจจุบันที่แต่ละประเทศเร่งการฉีดวัคซีนซึ่งแม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตหากติดเชื้อลงได้ ดังจะเห็นจากรายงานข่าวระยะหลังๆ ที่หลายประเทศแม้จะกลับมาพบผู้ติดเชื้อสูงขึ้นแต่ผู้ที่ต้องนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน หรือฉีดแต่ยังไม่ครบปริมาณตามที่วัคซีนแต่ละชนิดกำหนด
ในสถานการณ์โรคระบาดที่กินเวลายาวนานนี้ “ข้อมูลข่าวสาร” เป็นอีกประเด็นสำคัญว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะทำให้สังคมนั้นเกิดความตื่นตระหนกหรือจะสร้างความเข้าใจ ดังที่เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ย. 2564 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “การนำเสนอข่าวของสื่่อในช่วงโควิด-19” โดย จักร์กฤษ เพิ่มพูล กรรมการนโยบาย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พาย้อนกลับไปไล่เลียงความเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนไทย ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ยังพบโรคระบาดเฉพาะในประเทศจีน ก็ยังมองว่าเป็นเพียงข่าวต่างประเทศชิ้นหนึ่งเท่านั้น
แต่แล้วในเดือนม.ค. 2563 ที่ไล่ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนซึ่งไทยพบผู้ติดเชื้อรายแรกโดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ตามด้วยพบผู้ติดเชื้อชาวไทยรายแรกในประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขของไทยก็ออกประกาศเตือนไม่ควรเดินทางยังไปพื้นที่เสี่ยง กระทั่งวันที่ 30 ม.ค. 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ สื่อไทยจึงตื่นตัวและรายงานข่าวกันอย่างจริงจัง
“ถ้าย้อนกลับไปในช่วงความทรงจำในการรายงานข่าวโรคระบาดในประเทศไทย ตั้งแต่โรคซาร์ส (SARS) โรคไข้หวัดนก ข่าวโรคระบาดมันมีลักษณะพิเศษคือมันก่อให้เกิดความตื่นตระหนก เกิดความหวาดกลัว แล้วมันเกิดภาวะอันหนึ่งที่เราเรียกในทางวิชาการว่า Information Overflow แปลว่าข้อมูลไหลล้น ข้อมูลมากแต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อข้อมูลชิ้นไหน มันเยอะเหลือเกิน ทั้งหมดนี้เรียกร้องคุณภาพการสื่อสารของสื่อมวลชนมาก” จักร์กฤษ กล่าว
จักร์กฤษ ให้ความเห็นถึงบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อในสถานการณ์แบบนี้ไว้ว่า 1.นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน อีกทั้งต้องมีความต่อเนื่อง 2.มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนเชื่อถือได้ ไม่ใช่ไปนำข้อมูลอะไรก็ได้ที่ปรากฏในพื้นที่ออนไลน์มานำเสนอ นำเสนอช้าไปบ้างแต่ถูกต้องดีกว่าเน้นความเร็วแต่ผิดพลาด เพราะต้องไม่ลืมว่าโรคระบาดเป็นเรื่องความเป็นความตาย จึงต้องสร้างความมั่นใจกับผู้รับสาร และ 3.นอกจากรายงานสถานการณ์แล้วยังต้องเสนอแนะทางออกด้วย เช่น มาจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้รับสารได้ข้อมูลเพียงพอตัดสินใจ
มุมมองจากนักวิชาการ มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจาก 3 ฝ่ายคือ 1.รัฐ พบว่าสอบไม่ผ่านด้านการสื่อสารในภาวะวิกฤต เช่น วันหนึ่งพูดอย่างหนึ่งแต่อีกวันก็พูดอีกอย่าง ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน 2.สื่อมวลชน ซึ่งเผชิญปัญหาเศรษฐกิจมาก่อนหน้านี้แล้วในช่วง 5-10 ปีล่าสุด บางสำนักต้องปิดตัวลง บางสำนักต้องเลิกจ้างพนักงานไปพอสมควรและพนักงานที่ยังเหลืออยู่ก็มีภาระงานที่เพิ่มขึ้น
เมื่อประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ชอบติดตามข่าวประเภท “ดราม่า (Drama)” หรือข่าวที่เน้นอารมณ์สะเทือนใจ หรือข่าวเกี่ยวกับเรื่องขัดแย้งระหว่างบุคคล เนื่องจากจำนวนผู้ติดตามสื่อ (เรตติ้ง-Rating ในสื่อดั้งเดิม, ยอดไลค์-Like หรือยอดวิว-View ในสื่อออนไลน์) มีผลต่อการที่สินค้าและบริการต่างๆ จะตัดสินใจ
ลงโฆษณา อันเป็นรายได้สำคัญขององค์กรสื่อ ทำให้สื่อเลือกที่จะนำเสนอข่าวแนวนี้มากกว่าข่าวเจาะหรือข่าวสืบสวน-สอบสวน เพราะข่าวประเภทหลังนี้สำนักข่าวต้องลงทุนทั้งงบประมาณ กำลังคนและทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็น
นอกจากนั้น “การเมือง” ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ข่าวสารในสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการเมืองระหว่างประเทศว่าด้วยมหาอำนาจค่ายต่างๆ และการเมืองภายในประเทศ ที่ไม่เพียงเกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทยแต่พบได้ทั่วโลก ดังตัวอย่าง สหรัฐอเมริกา เมื่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการควบคุมโรคระบาด
ถูกใช้เป็นประเด็นต่อสู้ทางการเมืองในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เป็นต้น ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองนั้นนำไปสู่การมีชุดข้อมูลที่หลากหลายออกมา
หากสื่อใดมีความเป็นกลางก็จะนำเสนอชุดข้อมูลที่หลากหลายนั้นแล้วให้ประชาชนได้หยิบยกไปวิเคราะห์และตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าสื่อจำนวนไม่น้อยที่เลือกข้าง-เลือกฝ่าย ซึ่งหมายถึงการเลือกชุดข้อมูลที่จะนำเสนอ และหากนำเสนอแบบธรรมดาไม่ใส่ความคิดเห็นก็จะเป็นแบบหนึ่ง แต่หากนำเสนอแบบใส่ความคิดเห็นไม่ว่าผ่านการพาดหัวข่าวหรือการแปล ก็จะทำให้ประชาชนสับสน ทั้งนี้ในสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนต้องการข้อมูลข่าวสารมากกว่าปกติโดยเฉพาะด้านสุขภาพ เนื่องจากความรู้สึกตื่นกลัว
“วัฒนธรรมองค์กรของสื่อเป็นอย่างไร? โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตทั้งโควิด เจอทั้งวิกฤตทางการเมืองที่มีสถานการณ์แบ่งฝ่ายเลือกข้างอย่างชัดเจน สื่อบางสื่อเจ้าของสื่อก็เลือกที่จะสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งนำผลให้เกิดนโยบายข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ลูกศิษย์ผมหลายคนที่อยู่ในสื่อบอกเลยว่า อาจารย์!..เรื่องนี้ข้อมูลเป็นแบบนี้แต่นำเสนอไม่ได้เพราะว่าเจ้าของอยากให้นำเสนอแบบนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องเล่น เรื่องนี้มันจะกระทบโน่นนี่นั่น
ไม่ให้เล่น ถามว่าประชาชนจะรู้ไหม? ไม่รู้!” อาจารย์มานะระบุ
อาจารย์มานะ ยังกล่าวอีกว่า ถึงกระนั้น ด้วยความที่ยุคปัจจุบันไม่มีใครสามารถควบคุมสื่อได้ ดังนั้นข้อมูลที่สื่อหลักไม่นำเสนอก็ยังมีโอกาสที่ข้อมูลนั้นจะไปปรากฏบนพื้นที่ออนไลน์ แต่บนโลกออนไลน์นั้นก็มีข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าเรื่องใดเป็นข้อเท็จจริง เรื่องใดเป็นข่าวปลอมหรือข่าวที่ข้อมูลผิดพลาด (Fake News หรือ Disinformation) และสุดท้าย 3.ประชาชน ในฐานะผู้บริโภค พบว่ามักจะเลือกเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับความเชื่อของตนเอง ส่วนข้อมูลอีกด้านแม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่เมื่อไม่ตรงกับความเชื่อของตนเองก็ไม่เปิดรับ
ขณะที่ นิรันดร์ เยาวภาร์ สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ ยกตัวอย่าง “คำที่สื่อ (ไทย) ใช้กันผิดๆในสถานการณ์โควิด-19” เช่น คำว่า “ล็อกดาวน์” ความหมายที่แท้จริงคือการห้ามเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งพบสื่อใช้คำนี้ในข่าวที่รัฐบาลเพียงขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางข้ามพื้นที่ (อาทิ การเดินทางข้ามจังหวัด) เท่านั้น หรือคำว่า “เคอร์ฟิว” ความหมายที่แท้จริงคือการห้ามออกนอกเคหสถานในช่วงเวลาหนึ่ง (อาทิ 21.00-04.00 น.) แต่ก็มีสื่อใช้ในข่าวที่รัฐบาลเพียงขอความร่วมมืองดออกนอกเคหสถานในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยทั้ง 2 คำ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลออกประกาศห้ามกระทำอย่างเป็นทางการ (ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย) เท่านั้น ไม่ใช่ยังอยู่ในขั้นเพียงขอความร่วมมือให้งดกระทำ (ซึ่งยังไม่มีโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม) รวมถึงคำว่า “วีไอพี” คำนี้หมายถึงบุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูงแต่ก็มีสื่อใช้เรียกทหารอียิปต์ที่มาเปลี่ยนเครื่องบินในไทยแล้วออกไปนอกพื้นที่สนามบินจากนั้นก็พบว่าทหารนายนี้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่ทหารนายดังกล่าวเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเท่านั้น
นิรันดร์ ยกตัวอย่างต่อไปถึงประเด็น “ความรับรู้(Perception) ที่มีผลต่อการนำเสนอข่าวผิดพลาดไปจากข้อเท็จจริง” เช่น กรณีมีคนไทยเดินหลงข้ามชายแดนเข้าไปยังฝั่ง สปป.ลาว แล้วถูกเจ้าหน้าที่ทางการลาวจับกุมนายอำเภอของไทยในพื้นที่ชายแดนนั้น เขียนบันทึกไว้เพียงว่า “ชาวบ้านเข้าไปจะได้ฉีดวัคซีน” แต่มีสื่อไปเห็นเข้าแล้วก็นำมารายงานข่าวแบบ “ขยายความ” โดยรายงานว่า “จะได้ฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)” เพราะมีความรับรู้กันไปแล้วว่ารัฐบาลไทยจัดหาวัคซีนได้แย่กว่าประเทศเพื่อนบ้าน
“ในข้อเท็จจริงลาวเขามีวัคซีนหลายชนิด ทั้งซิโนฟาร์ม แอสตราเซเนกา สปุตนิก วี จอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัคซีนที่ได้มาจากการบริจาคจากประเทศมหาอำนาจและโครงการโคแวกซ์ แต่เราอาจจะเห็นข่าวลาวได้รับบริจาควัคซีนจากสหรัฐฯ เป็นวัคซีนไฟเซอร์ แสนกว่าโดส ขนส่งผ่านไทย ก็เป็นข่าวฮือฮา ก็อาจจะคิดว่า มีภาพจำว่าวัคซีนที่คนลาวฉีดส่วนใหญ่คือไฟเซอร์ แต่อันนี้ก็เป็นข้อผิดพลาด”นิรันดร์ ระบุ
ปิดท้ายด้วย พีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทย อสมท ตั้งข้อสังเกตว่า ด้านหนึ่งสื่อเองก็มีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลซึ่งนั่นหมายถึงข้อจำกัดในการนำเสนอข้อมูลด้วย เช่น ในช่วงแรกๆ ของการระบาด บรรดาผู้เชี่ยวชาญไม่ค่อยให้สัมภาษณ์เพราะเห็นว่าในเวลานั้นข้อมูลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือสถิติตัวเลข อาทิ ข้อมูลของผู้เสียชีวิตที่ระบุทั้งอาชีพ อายุ โรคประจำตัวจังหวัด ที่ไม่ได้นำเสนออย่างต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงรอยต่อระหว่างหลังการระบาดระลอกแรกกับก่อนการระบาดระลอกสอง (เดือนก.ค.-ธ.ค. 2563) ที่การระบาดในประเทศเบาบางลงมาก เหลือเพียงผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ เมื่อประกอบกับภาวะที่สื่อต้องดิ้นบวกกับประชาชนเองก็ไม่ค่อยสนใจข่าวโควิดแล้ว ทำให้สื่อต้องหันไปนำเสนอข่าวเรื่องอื่นๆ ส่วนการรายงานข่าวโควิดก็มีเพียงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายวันที่ก็ไม่มีหรือแทบไม่มี แต่เรื่องนี้ก็น่าคิดว่าหากสื่อยังคงกระตุ้นต่อไปโดยพยายามมองหาจุดที่สุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ไม่เกิดการระบาดระลอก 2 ได้หรือไม่?
“มันอาจจะทำให้เรามองไม่เห็นว่ามันมีช่องโหว่เช่น ชายแดน กว่าจะไปเจอว่ามีต่างด้าวเข้ามามากมายแล้วพาเชื้อเข้ามาได้ มีรูรั่วอยู่ตามชายแดน มันก็เจอที่สมุทรสาครไปแล้ว และหลังจากนั้นมันก็แทบจะควบคุมยากไปแล้ว” พีรพล กล่าว
ล่าสุดดูเหมือนทั้งโลกจะกลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง เมื่อมีการตรวจพบไวรัสโควิด-19 รหัส B.1.1.529“โอไมครอน (Omicron)” ในทวีปแอฟริกา ทำให้หลายชาติรวมถึงไทยตัดสินใจระงับการเดินทางจากหลายประเทศในทวีปดังกล่าว ซึ่ง “หมอยง” ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Yong Poovorawan” เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2564 ตอนหนึ่งได้ฝากข้อคิดเรื่องการสื่อสารไว้ดังนี้..
“การสื่อสารทางด้านสังคม ขณะนี้มีการตื่นตัวกันอย่างมาก ดังนั้นข้อมูลที่ให้กับประชาชนทั่วไป จะต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส ใช้ความจริง เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าความรู้สึก ในการแพร่กระจายข่าวออกไป ในบางครั้งมีผลกระทบทางจิตใจค่อนข้างมากโดยเฉพาะข่าวที่ไม่เป็นความจริง และการ bully (เหยียด-รังแก) ในสังคม ไม่ได้ช่วยอะไรเลยต่อภาพรวม”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี