ผ่านมาแล้ว 25 พฤศจิกายน ของทุกปี ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดเป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและบุคคลในครอบครัว ส่วนครม.ของไทยเห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายนทุกปีเป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงเช่นเดียวกัน
วันก่อนมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)เข้าร่วมประชุมผ่านระบบZoom เรื่อง “ยุติความรุนแรงในครอบครัว...สื่อเติมเชื้อหรือดับไฟ” มี รศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ ท่านคณบดีใหม่ถอดด้ามคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสสส. เป็นประธานเกริ่นนำว่า สสส. เห็นความสำคัญเรื่องการยุติความรุนแรงในครอบครัว จึงร่วมกับมสส.จัดงานนี้ขึ้น เพราะจากการสำรวจข้อมูลหลายครั้งพบว่า ปัจจัยกระตุ้นสำคัญของการใช้ความรุนแรงมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสิ่งเสพติดซึ่งแอลกอฮอล์ถือเป็นตัวทำลายภูมิคุ้มกัน เพิ่มความเสี่ยงติดโควิด 2.9 เท่า อุบัติเหตุทางถนนมากกว่าร้อยละ 20 มาจากการดื่มแล้วขับ ซึ่งเพิ่มสูงถึงร้อยละ 40 ในช่วงเทศกาล เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 9 หมื่นล้านบาทต่อปี และเป็นสาเหตุหลักของความรุนแรงในครอบครัว จึงอยากให้สื่อมวลชนได้มีบทบาทร่วมลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านนายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ระบุว่า ได้สำรวจสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวช่วงการระบาดของโควิด-19 จำนวน 1,692 ตัวอย่าง ในกทม.และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 17-23 ต.ค.2564คนไทยนั้นเครียดเลยแสดงออกถึงความรุนแรงที่พบมากที่สุดร้อยละ 53.1 พูดจาส่อเสียด เหยียดหยามด่าทอ ร้อยละ 20.2 มีการทำร้ายร่างกาย ข้อมูลยังระบุชัดเจนร้อยละ 41.5 ว่ามีความรุนแรงเพิ่มขึ้นก่อนโควิด-19 ระบาด มิหนำซ้ำร้อยละ 75 ระบุว่ามีการกระทำความรุนแรงซ้ำ 2-3 ครั้ง สาเหตุหลักมาจากแอลกอฮอล์ ส่วนผลกระทบต่อครอบครัว พบว่าร้อยละ 82 มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 80.2 มีผลต่ออารมณ์ ที่น่าตกใจคือการแก้ไขปัญหาเมื่อถูกกระทำรุนแรงร้อยละ 52.2 จะใช้การตอบโต้กลับ ร้อยละ 33.2 พูดคุยไกล่เกลี่ย มีเพียงร้อยละ 1.4 เท่านั้นที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย มีมากถึงร้อยละ87 ที่ไม่ขอความช่วยเหลือเพราะเชื่อว่าแก้ปัญหาเองได้ร้อยละ 75.6 มองเป็นเรื่องส่วนตัวและร้อยละ 61.8มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลบอกว่าการเสนอความรุนแรงนั้นสื่อหนังสือพิมพ์รายวันดีขึ้น แต่ที่น่ากังวลคือโทรทัศน์ยังมีการนำเสนอฉากข่มขืน การใช้ความรุนแรงกับคู่รัก สร้างมายาคติให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนสื่อออนไลน์ก็เช่นจากการเก็บข้อมูลมิวสิกวีดีโอพบว่ามี 19 เพลง เนื้อคุกคามทางเพศกดทับผู้หญิง ภาคีจะร่วมกับหลายฝ่ายณรงค์เรื่องนี้ต่อไป
ส่วน ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อเสนอต่อสื่อมวลชนว่าสื่อต้องทำงานเพิ่มอีก 2 มิติคือ ต้องไม่มองแค่ความรุนแรงทางตรงที่ปรากฏอยู่ในฉากละครแต่ต้องมองให้ลึกในเชิงโครงสร้างความรุนแรงในครอบครัว และจะต้องมองความรุนแรงบนฐานของจากเพศสภาพมากกว่าเพศหญิงเพศชายในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นสื่อจะผลิตภาพซ้ำให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเพียงแค่เรื่องส่วนตัวทั้งๆ ที่ความรุนแรงเป็นผลจากนโยบายของรัฐที่ปกป้องผู้หญิงน้อยเกินไป การใช้ความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นความผิดทางอาญาที่ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว สื่อต้องไม่ยอมรับให้ความรุนแรงในครอบครัวกลายเป็นความชอบธรรม ต้องทำงานด้วยความรับผิดชอบไม่ตำหนิผู้เสียหาย รู้เรื่องกฎหมาย มีการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเสมอหน้า มองปัญหารอบด้านและให้ข้อมูลช่องทางในการช่วยเหลือด้วย
ขณะที่นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบอร์ดสสส. สะท้อนว่าสื่อถูกตั้งคำถามว่าขายความรุนแรงเพื่อความอยู่รอดจริงหรือ ประสบการณ์ที่เคยทำงานในหนังสือพิมพ์รายวันก็ยอมรับว่าในอดีตเจ้าของสื่อคิดอย่างนั้นจริงๆเพราะมองว่าคนอ่านชอบและทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันถือว่าดีขึ้น ขณะที่สื่อโทรทัศน์และทั้งสื่อออนไลน์บางส่วนในปัจจุบันยังคงขายความรุนแรงในรูปแบบต่างๆอยู่เช่นรายการบางสถานีนำเสนอข่าวความรุนแรงในครอบครัวสามีภรรยามาทะเลาะกันออกอากาศคนดู ก็สนใจ เรทติ้งก็พุ่งสูงขึ้นดูได้จากรายได้บริษัทมีกำไรมากขึ้น แต่เชื่อว่าในอนาคตผู้บริโภคจะเป็นคนกำหนดเนื้อหาและคุณภาพของสื่อ ถ้าสื่อยังขายความรุนแรงนอกจากจะทำร้ายเหยื่อซ้ำแล้วจะเป็นการปลูกฝังความคิดการใช้ความรุนแรงให้กับประชาชนไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านสื่ออาวุโสอย่างนางกรรณิกา วิริยะกุล บก.บห. นสพ.ไทยโพสต์ เห็นว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ตระหนักในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่สื่อจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดหรือไม่เพราะผู้บริโภคยุคปัจจุบันต่างกับในอดีตเดิมเสนอข่าวจากการแถลงข่าวที่เชื่อถือได้แต่ปัจจุบันต้องส่องจากเฟซบุ๊คว่าใครทำอะไรคำถามคือเราจะเอาความเข้มข้นทางวิชาการหรือจะเอาใจวัยรุ่น ไทยโพสต์ยืนยันว่าจะยังคงความเข้มข้นก็หวังว่าทุกฝ่ายจะช่วยให้สื่อหลักที่ไม่ทำตามกระแสให้อยู่ได้ ส่วนกฤษณ์ชนุตม์ เจียรรัตนกนก บก.ข่าวไทยรัฐทีวี บอกว่าทำงานอยู่บนความรับผิดชอบอยู่แล้วหากเป็นคดีสะเทือนขวัญก็ต้องนำเสนอเพื่อตักเตือนสังคม นอกจากนี้ยังมีทีมดูแลถ้อยคำการพาดหัว มีกรรมการจริยธรรม 7 คนมากำกับเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ด้านนายพิธพงษ์ จตุรพิธพร ผู้ประกาศข่าวทีวี ช่อง 7 ระบุว่านโยบายของสถานีถ้าเป็นข่าวความรุนแรงในครอบครัวจะพยายามไม่นำเสนอยกเว้นคดีสำคัญและจะเน้นประเด็นการดำเนินคดี การนำเสนอภาพหรือข่าวหน้าจอจะถามความสมัครใจก่อนและให้ข้อมูลช่องทางการช่วยเหลือร้องเรียนด้วย ส่วนนายเอกพล บันลือ บก.สำนักข่าว The Standard กล่าวว่า ไม่ค่อยเสนอข่าวความรุนแรงระหว่างบุคคลอยู่แล้วแต่จะเน้นวิเคราะห์ ถอดบทเรียนในประเด็นที่สังคมสนใจ ที่สำคัญผู้บริโภคคือคนกำหนดบทบาทของเราว่าอะไรเหมาะสมหรือออกนอกแนวทางที่วางไว้
บทสรุปวันนั้นตรงกันว่าสื่อต้องช่วยกันดับไฟความรุนแรงไม่ใช่เป็นผู้เติมเชื้อไฟ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี