ทหารสกัดจับ9เมียนมา
ลอบลงเรือเข้าไทย
มท.1จี้ผู้ว่าฯคุมเข้ม
สกัดต่างด้าวทะลัก
ทหารรวบ 9 เมียนมา เปลี่ยนใช้เรือลอบเข้าเมืองผิด ก.ม.ผ่านลำน้ำโขง พบจ่ายค่าหัว 2-4 พันบาท หากจะไปทำงาน กทม.ต้องจ่ายเพิ่ม 2 หมื่นบาท ด้าน มท.1 สั่ง ผวจ.ทั่วประเทศ คุมเข้มการเข้า-ออก การขนย้ายแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน เฝ้าระวังการโควิด-19 กลายพันธุ์ใหม่ ‘โอไมครอน’ หวั่นลามเข้าไทย
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำลังทหารกองกำลังผาเมือง ได้ออกลาดตระเวน ก่อนจะสกัดจับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 9คน ที่บริเวณท่าข้ามวังลาว ริมแม่น้ำโขง พื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย หลังจากเจ้าหน้าที่สังเกตุพบเรือหาปลาข้ามฝั่งมาจากประเทศเมียนมา อย่างมีพิรุธ จึงเข้าสกัดและตรวจสอบ กระทั่งพบแรงงานชาวเมียนมาทั้งหมดโดยสารมากับเรือลำดังกล่าว
จากการสอบสวนเบื้องต้นทั้งหมดรับสารภาพว่า อาศัยอยู่ในประเทศเมียนมา แต่ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่มีงานทำ จึงยอมเสียค่านำพาให้นายหน้าคนละ 2,000-4,000 บาท นั่งเรือเข้ามาประเทศไทย และหากจะเดินทางไปทำงานใน กทม.จะต้องจ่ายเงินให้กับนายหน้าอีกคนละ 20,000 บาท
พล.ต.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้สั่งให้เพิ่มความเข้มงวดในการสกัดแรงงานต่างด้าวลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายทุกช่องทางตามแนวชายแดน โดยเน้นให้วางลวดหนามตามช่องทางธรรมชาติ ติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจตราตามหอพัก ชุมชน หมู่บ้านตามแนวชายแดน พร้อมกับแจ้งเตือนแรงงานในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านว่าอย่าหลงเชื่อขบวนการนำพาแรงงานที่อ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ แต่ควรติดต่อสอบถามกับทางการไทยถึงการเข้าทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายและถูกจับกุมดำเนินคดี
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ใหม่ ‘โอไมครอน’ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงสั่งการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มข้นตามอำนาจหน้าที่ และเพื่อเป็นการป้องและเฝ้าระวังอย่างมีประสิทธิภาพ ตนจึงกำชับไปยัง ผวจ.ทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ให้ดำเนินมาตรการสกัดกั้นเชื้อจากต่างประเทศให้เป็นไปอย่างเข้มข้น
พล.อ.อนุพงศ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้ ผวจ.ในฐานะ ผอ.รักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน โดยเข้มงวดในการควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบให้ดำเนินคดีอย่างเข้มงวด
รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่าสำหรับการปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้มีการประสานกับตำรวจภูธรจังหวัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดและจุดคัดกรองโรค บุคคลและการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมือง และการคัดกรองรถขนส่งสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ การปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครร่วมกันตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน หากพบแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย ให้ประสานหน่วยงานความมั่นคงดำเนินการทันที ส่วนจังหวัดชั้นใน ให้ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยประสานกับตำรวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสกัดกั้นการเข้า-ออก และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย
“ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ทั้งจังหวัดชายแดนประเทศเพื่อน จังหวัดที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกับจังหวัดชายแดน และจังหวัดชั้นใน ต้องให้ความสำคัญกับการข่าว รู้ข้อมูลผู้เดินทางเข้า-ออกพื้นที่ และบูรณาการฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และเฝ้าระวังสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน” พล.อ.อนุพงศ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี