นายกฯสั่งศบค.ถกผู้ประกอบการ
จัดเคาท์ดาวน์ปีใหม่
เช็คความพร้อมสกัดโอไมครอน
ลุ้นไฟเขียวได้จัดงานกลางแจ้ง
สธ.จับตาสายพันธุ์ใหม่ลาม39ปท.
เร่งตามตัว123แอฟริกันตรวจเชื้อ
ห่วงกลุ่มเปราะบาง12จว.ฉีดวัคซีนต่ำ
ไทยป่วยรายวัน4,912/ตาย33ศพ
ไทยติดเชื้อรายวัน 4,912 คน ตาย 33 ศพ 5 จังหวัดยังแรงติด 10 อันดับติดเชื้อสูงสุดของประเทศ “นครพนม-มุกดาหาร” ไม่พบรายใหม่ต่อเนื่องมา 3 วันแล้ว สธ.จับตาโอไมครอนลามแล้ว 39 ประเทศทั่วโลก เร่งตามตัวนักท่องเที่ยว8 ประเทศเสี่ยงจากแอฟริกา เหลืออีก 123 คน หลังพบ 44 คนนำมาตรวจแล้วไม่พบโอไมครอน นายกฯสั่งศบค.นัดถกผู้ประกอบการวางแผนและพิจารณาความพร้อมจัดเคาท์ดาวน์ปีใหม่ อาจให้จัดงานกลางแจ้งก่อน เพราะต้องจับตาเชื้อโควิดกลายพันธุ์
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. ทำเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษกศบค. แถลงสถานการณ์ระบาดโควิด -19 ในประเทศไทย รวมถึงมาตรการเฝ้าระวังเชื้อสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน
ไทยติดเชื้อ4,912-ตาย33ราย
ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,912 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 4,742 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 4,606 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 136 ราย มาจากเรือนจำ 157 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 13 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,130,641 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 5,844 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,037,000 ราย อยู่ระหว่างรักษา 72,761 ราย อาการหนัก 1,315 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 338 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 33 ราย เป็นชาย 16 ราย หญิง 17 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 24 ราย มีโรคเรื้อรัง 7 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 4 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 20,880 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 264,439,993 ราย เสียชีวิตสะสม 5,249,487 ราย
5จว.ใต้ยังแรง-2จว.ไม่พบติดเชื้อเพิ่ม
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 3 ธันวาคม ได้แก่ กทม. 685 ราย นครศรีธรรมราช 414 ราย สงขลา 312 ราย ปัตตานี 209 ราย สุราษฎร์ธานี 181 ราย เชียงใหม่ 179 ราย ชลบุรี 177 ราย สมุทรปราการ 116 ราย ขอนแก่น 103 ราย ยะลา 103 ราย โดยมี 2 จังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่คือ จ.นครพนมและมุกดาหาร ซึ่งจ.นครพนมไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องมาแล้ว 3 วัน อย่างไรก็ตาม ยังพบการระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหม่หลายแห่ง เป็นคลัสเตอร์โรงงาน ที่จ.เชียงใหม่ นครราชสีมา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ระยอง ปราจีนบุรี กทม. คลัสเตอร์ตลาดพบที่จ.แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ลพบุรี สมุทรสาคร ตราด คลัสเตอร์แคมป์คนงานพบที่จ.ปราจีนบุรี เชียงใหม่ คลัสเตอร์งานศพพบที่ จ.นราธิวาส ขอนแก่น ยโสธร หนองคาย คลัสเตอร์โรงเรียนพบที่ จ.ร้อยเอ็ด ยะลา ตราด อุบลราชธานี คลัสเตอร์ค่ายทหารพบที่ จ.สงขลา ชลบุรี ลพบุรี คลัสเตอร์ร้านอาหาร สถานบันเทิง พบที่ จ.อุบลราชธานี
โอไมครอนลาม39ปท.นำเข้าจากตปท.
พญ.สุมณี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนขณะนี้กระจายไป 39 ประเทศทั่วโลก ประเทศที่พบผู้ติดเชื้อใหม่วันเดียวกันนี้คือ กานา นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซาอุดิอาระเบีย อินเดีย ทั้งหมดเป็นการพบเป็นเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศ และทุกประเทศยังพบเชื้อไม่ถึง 1% ของผู้ติดเชื้อในประเทศ จึงยังไม่มีการระบาดในประเทศเหล่านั้น ในส่วนของไทยไม่รับนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสูง 8 ประเทศแอฟริกาตอนใต้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 15-27 พฤศจิกายน มีคนจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสูงเดินทางเข้ามาในประเทศ 333 ราย ออกจากประเทศไปแล้ว 61 ราย กักตัวครบ 14 วันแล้ว 105 ราย ยังไม่ครบ 14 วัน 167 ราย จึงต้องตามบุคคลเหล่านี้มาตรวจ RT-PCR ซ้ำ จากข้อมูลสามารถติดตามตัวและนำตรวจได้แล้ว 50 ราย ส่วนคนที่เหลือจะติดตามต่อเนื่อง ทั้งส่งข้อความที่ลงทะเบียนในไทยแลนด์พลัส ข้อมูลที่ลงทะเบียนในแอปพลิเคชั่นหมอชนะ และโทรศัพท์ไปที่โรงแรมที่พัก โดยกำชับให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำชับไปยังโรงแรมต่างๆ ให้บุคคลเหล่านี้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ เพราะเป็นช่องทางสื่อสาร และบุคคลเหล่านี้เมื่อเข้าตรวจ RT-PCR จะไม่เสียค่าใช้จ่าย ในส่วนผู้เดินทางมาจากประเทศในทวีปแอฟริกาประเทศอื่นๆ ถือเป็นกลุ่มต่ำมีทั้งสิ้น 453 ราย บุคคลเหล่านี้ไม่ตรวจ RT-PCR ซ้ำ จึงขอให้เฝ้าสังเกตอาการตัวเองหลังจากออกจากสถานที่กักตัวไปเป็นเวลา 14 วัน ถ้ามีอาการค่อยไปตรวจซ้ำ
ฉีดวัคซีนแล้ว94.2ล้านโดส
พญ.สุมณี กล่าวว่า ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของไทยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 527,092 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ทั้งสิ้น 94,280,248 โดส ขณะนี้ถือว่าเรามีวัคซีนเพียงพอ ขอให้ประชาชนเข้าไปฉีดวัคซีน ตอนนี้เรามีวัคซีนหลายยี่ห้อและมีสูตรฉีดวัคซีนหลายแบบ ขอให้ศึกษาระยะห่างระหว่างการฉีดให้ดี
เร่งฉีดกลุ่มเปราะบาง12จว.
ทั้งนี้ ในส่วนผู้ฉีดวัคซีนที่ต้องจับตาคือ กลุ่มผู้มีอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว ถือเป็นเป้าหมายหลัก โดยกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าฉีดกลุ่มนี้ให้ได้ร้อยละ 80 หากไปดูรายจังหวัดพบว่ามีถึง 12 จังหวัดที่ยังฉีดคนกลุ่มไม่ถึงร้อยละ 60 ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา แม่ฮ่องสอน นครนายก ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และขอนแก่น มีจังหวัดที่ฉีดเกินร้อยละ 80 เพียง 11 จังหวัด คือ ปทุมธานี ลำปาง นครพนม บึงกาฬ สกลนคร เชียงใหม่ กทม. สมุทรปราการ อุดรธานี บุรีรัมย์ และสุราษฎร์ธานี ขณะที่กลุ่มจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ยังต้องเร่งฉีด ได้แก่ กาญจนบุรี ขอนแก่น ซึ่งยังฉีดได้ไม่ถึงร้อยละ 60 ส่วน จ.พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี สุรินทร์ ยังฉีดได้ไม่ถึงร้อยละ 70 รวมถึงพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ประกอบด้วย เพชรบุรี ตราด ระยอง ก็ต้องเร่งฉีดด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันยังฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้ไม่ถึงร้อยละ 80
ตามหาอีก123แอฟริกา/44คนไม่พบเชื้อ
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขแถลงความคืบหน้าการติดตามเฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์โอไมครอนว่า ข้อมูลผู้เดินทางเข้าประเทศไทย จาก 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาที่พบการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตีนี เลโซโท มาลาวี นามิเบีย แอฟริกาใต้ โมซัมบิก และซิมบับเว ตั้งแต่วันที่ 15 - 27 พฤศจิกายน ที่เข้ามาในระบบแซนด์บ็อกซ์และระบบกักตัวมีทั้งสิ้น 333 คน พบเดินทางออกจากไทยไปแล้ว 61 คน อยู่ประเทศไทยจนครบ 14 วันแล้ว 105 คน เหลือที่ต้องติดตามอีก 167 คน ขณะนี้ได้รับรายงานเบื้องต้นว่าติดตามได้แล้ว 44 คน คิดเป็น 26% เบื้องต้นผลตรวจ RT-PCR ยังไม่พบเชื้อโควิด และสายพันธุ์โอไมครอน ถือว่ามีความปลอดภัย ได้เร่งติดตามผู้เดินทางจำนวนที่เหลือให้มารับการตรวจ รักษาและคุมไว้สังเกตต่อไป
“ผู้เดินทางเข้าประเทศกลุ่มนี้ แม้จะมาจากพื้นที่ที่พบสายพันธุ์โอไมครอน แต่จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มประเทศแอฟริกาจะเข้าประเทศไทยด้วยระบบแซนด์บ็อกซ์และกักตัว ซึ่งมีข้อกำหนดว่าต้องได้รับวัคซีนครบโดส มีผลตรวจหาเชื้อ RT-PCR เป็นลบก่อนเข้าประเทศ 72 ชั่วโมง ตรวจ RT-PCR ซ้ำตั้งแต่วันแรกที่มาถึง และตรวจ ATK อีกครั้งเมื่ออยู่ในแซนด์บ็อกซ์ครบ 7 วัน ก่อนเดินทางต่อได้ แต่ที่ต้องติดตามให้มาตรวจหาเชื้อ เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
และว่า สธ.เสนอให้งดลงทะเบียนขอเข้าประเทศสำหรับผู้ที่จะเดินทางมาจาก 8 ประเทศดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ส่วนที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน และให้เข้าระบบกักตัว 14 วันทั้งหมดเพื่อตรวจหาเชื้อเป็นระยะ ขณะนี้ยังตรวจไม่พบเชื้อ และตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ห้ามไม่ให้เดินทางเข้าประเทศ ยกเว้นคนไทยที่ต้องการกลับประเทศ ซึ่งจะส่งเข้าระบบการกักตัว ดังนั้นไม่ต้องวิตก ส่วนผู้เดินทางจากประเทศอื่นในทวีปแอฟริกา ต้องกักตัว 14 วันและตรวจหาเชื้อ 3 ครั้งเช่นกัน
ซุ่มตรวจคนไทยติดเชื้อไม่รู้ตัว1.4%
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงความคืบหน้าการตรวจแอนติบอดี และภูมิคุ้มกันโควิด-19 ว่า โครงการสำรวจหาภูมิคุ้มกันในคนไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตั้งโจทย์เดือนพฤศจิกายน ที่มีการฉีดวัคซีนและติดเชื้อจำนวนหนึ่ง เพื่อหาคนที่ยังได้ไม่ฉีดวัคซีนและไม่มีประวัติตรวจพบเชื้อ แต่มีภูมิคุ้มกันขึ้น แปลว่า ติดเชื้อไม่รู้ตัว และไม่ได้รับการวินิจฉัย เพื่อมาดูว่าเราตรวจน้อยเกินไปหรือไม่ ข้อมูลตรงนี้จะนำไปสู่การเดินหน้าฉีดวัคซีนในบางพื้นที่เพิ่มเติม การศึกษาครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยแล้ว สุ่มตัวอย่างกว่า 2 หมื่น จาก 12 เขตสุขภาพรวม 30 จังหวัด ยกเว้นเขตสุขภาพที่ 13 คือ กรุงเทพฯ เนื่องจากฉีดวัคซีนเกิน 100% ไปแล้ว การสำรวจครั้งนี้กลุ่มอายุ 18-60 ปี ชาย 48% หญิง 52% จำนวน 26,717 ตัวอย่าง โดยตอบคำถามและแสดงความยินยอมให้ถูกเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกัน
“ผลสำรวจเบื้องต้นพบ ภาพรวมทั้ง 12 เขตสุขภาพพบติดเชื้อไม่รู้ตัว 1.4% แต่หากติดเชื้อแล้วเข้าสู่ระบบพบทั้ง 13 เขตสุขภาพมี 2.6% หากพิจารณาเฉพาะติดเชื้อไม่รู้ตัว เทียบกับติดเชื้อเข้าระบบเพราะมีการตรวจ RT-PCR ยังถือว่าไม่มาก” นพ.ศุภกิจกล่าว
ใต้ติดเชื้อไม่รู้ตัวสูง-เร่งฉีดวัคซีน
และว่า สังเกตว่าภาคอีสานจะค่อนข้างต่ำ ส่วนภาคใต้ในเขตสุขภาพที่ 12 สุ่มตรวจจ.นราธิวาส สตูล 1,128 คน ติดเชื้อไม่รู้ตัว 6.2 % ถือว่ามีมาก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระหว่าง 2-3 เดือนที่เก็บตัวอย่างพบว่า ติดเชื้อสะสม 1.8 ล้านราย จากฐานประชากร 72 ล้านคน อัตราความชุกของการติดเชื้อ 2.6% ดังนั้น หากเอาเปอร์เซ็นต์ติดเชื้อโดยธรรมชาติ การฉีดวัคซีน มารวมกับข้อมูลที่เราไปหามาได้ ก็จะพบสัดส่วนภูมิคุ้มกันประชากร เมื่อนำมาเทียบกันก็จะพบคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ถือเป็นเวอร์จิ้น มีโอกาสติดเชื้อ ดังนั้น พื้นที่ใดมีจำนวนกลุ่มดังกล่าวมาก ต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อมูลเขตสุขภาพที่พบการติดเชื้อไม่รู้ตัว แสดงว่าต้องเร่งฉีดวัคซีนหรือไม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ใช่ ต้องเร่งฉีดให้ครอบคลุมมากที่สุด
เล็งตรวจภูมิคุ้มกันทุกคน
นพ.ศุภกิจกล่าวด้วยว่า ในการประชุมอีโอซีของกระทรวงสาธารณสุข ปลัด สธ. อยากให้ตรวจในจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนต่ำ ก็ต้องไปพิจารณา รวมทั้งอยากให้ตรวจภูมิคุ้มกันข้อมูลประชากรกว้างขึ้นและละเอียด เพื่อแก้ปัญหากรณีข้อมูลการฉีดวัคซีนของแต่ละพื้นที่จริงหรือไม่ รวมทั้งยังฝากว่า เป็นไปได้หรือไม่ในการตรวจแอนติบอดีทุกคน ไม่ต้องถามว่า ใครฉีดวัคซีนหรือไม่ แต่ตรวจให้หมด ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณา และเตรียมความพร้อม เนื่องจากข้อมูลจะเยอะมาก โดยกรมวิทยาศาสตร์ฯจะมีการวางแผนเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากการตรวจภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต้องตรวจเลือด ก็ต้องเตรียมพร้อมอย่างครบวงจร
ตรวจ64แอฟริกันผลเป็นลบเร่งตามที่เหลือ
นพ.ศุภกิจยังเปิดเผยความคืบหน้าการตรวจหาเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน จากนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า หลักการคือหากคนต่างชาติมีผลตรวจ RT-PCR เป็นบวก จากนั้นต้องตรวจหาสายพันธุ์โดยเร็ว จากการตรวจมากกว่าร้อยรายไม่พบสายพันธุ์โอไมครอนส่วนกรณีผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา 700 กว่าคน ได้ติดตามตัวเพื่อตรวจ RT-PCR ซ้ำแล้ว จากข้อมูลล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ 3 ธันวาคม ได้ตรวจ RT-PCR ซ้ำ 64 คน ผลออกมาเป็นลบทั้งหมด ไม่พบติดเชื้อ ขณะนี้กรมควบคุมโรคอยู่ระหว่างติดตามตัวคนที่เหลือ หากเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนหลุดเข้ามา มั่นใจสามารถตรวจเจอได้ กรณีเข้ามาทางอากาศนั้นไม่กังวล เพราะเข้าระบบควบคุมป้องกันโรค แต่ที่กังวลคือการลักลอบเข้าตามแนวชายแดน
สั่งศบค.ถกผู้ประกอบการจัดปีใหม่
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดงานเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่หรือเคาท์ดาวน์ ขณะที่ยังมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ว่า ตนสั่งการไปที่ศบค.แล้วให้เร่งพิจารณา โดยให้ผู้ประกอบการที่ประสงค์จัดงานมาพูดคุย หารือกันภายในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม เพื่อให้มีเวลาเตรียมการ หลักๆคงเป็นเรื่องของจัดงานกลางแจ้ง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของการระบาดอีกระลอกหนึ่ง
โล่งยังไม่พบโอไมครอนในไทย
นายกฯกล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องเชื้อโควิด สายพันธุ์โอมีครอน จากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นวันนี้ ยังโชคดีที่ประเทศไทยตรวจไม่พบในขณะนี้ แต่ก็มีคนที่เคยเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ตอนนี้ก็ให้ติดตามมาทั้งหมด อยู่ที่ไหน อย่างไร เข้ามาแล้วและยังไม่ได้ออกไป ต้องตามตัวมาให้ครบ ให้ในพื้นที่ช่วยตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ อย่างไร เพื่อเข้าสู่มาตรการของศบค.และสาธารณสุข แต่คิดว่าเจ้าตัวเองก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่แล้ว
“ขณะนี้เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะวันนี้สถิติการติดเชื้อ การรักษาหาย การเสียชีวิตลดลงมาตามลำดับ หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าสถานการณ์ค่อนข้างจะดีขึ้น กิจการหลายอย่างก็ทยอยเปิดได้ เรื่องนี้ศบค.จะเร่งรัดพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า จะได้มีเวลาเตรียมการ”นายกฯกล่าว
ยันนทท.-คนไทยไม่แพร่เชื้อให้กัน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงการติดตามตัวนักท่องเที่ยวจากทวีปแอฟริกาที่เข้ามาในไทยก่อนหน้านี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม มีนักท่องเที่ยวจากแอฟริกาเข้าประเทศไทยประมาณ 1,000 คน และที่มาจากประเทศเสี่ยง 300 คน ทุกคนที่เข้ามาต้องกักตัวในแซนด์บ็อกซ์ ไม่ต่ำกว่า 7-14 วัน ตอนนี้ทุกคนอยู่ในการติดตามของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเรียบร้อย ปัจจุบันยังไม่เจอกรณีติดเชื้อ เนื่องจากตอนมาครั้งแรกตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR และตรวจอีกวันที่ 7 และวันที่ 14 รวม 3 ครั้ง คิดว่าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขรับได้ ไม่น่ามีปัญหา ขณะนี้ตม. ติดตามทั้งหมดแล้ว ย้ำว่าส่วนใหญ่ที่เข้ามากักตัวในสถานที่กักตัว หรือในแซนด์บ็อกซ์ ดังนั้น อย่าไปกังวล แต่ถึงอย่างไรขอให้คนไทยระวังป้องกันตัวให้ดีที่สุด เข้มงวดมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ และจากประสบการณ์ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และการเปิดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ผลสรุปออกมาว่านักท่องเที่ยวและคนไทยไม่มีการแพร่เชื้อระหว่างกัน คิดว่าไม่น่าต้องกังวลจนเกินกว่าเหตุ เชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขเอาอยู่
โอไมครอนแทนทีเดลตาในไม่ช้า
มีความเห็นจากนพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ว่า 3 เดือนที่แล้วก่อนที่จะค้นพบเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron)ในแอฟริกาใต้ นักวิทยาศาสตร์ยังแปลกใจ ทำไมคนผิวดำ 1,300 ล้านคนในทวีปแอฟริกามีอะไรดีหรือ ถึงได้ติดเชื้อไวรัสโควิดน้อย ไม่ติดวงกว้างเหมือนคนในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ถึงแม้จะได้ฉีดวัคซีนน้อยมาก และมีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าในทวีปแอฟริกาแล้วก็ตาม เหตุผลสำคัญตนสันนิษฐานว่า เนื่องจากคนผิวดำมีลักษณะทางพันธุกรรมต่างจากคนผิวขาวและคนเอเซีย ทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ละสายพันธุ์เล่นงานคนต่างเผ่าพันธุ์ไม่เหมือนกัน
นพ.มนูญกล่าวต่อว่า ตอนที่มีการระบาดของสายพันธุ์อื่น อย่างแอลฟาที่เกิดขึ้นในคนผิวขาวในทวีปยุโรป คนไทยและคนในประเทศอาเซียน ติดเชื้อไวรัสน้อย เชื้อนี้ไม่สามารถจะแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในคนเอเซียได้ มีคนตั้งคำถามเหมือนกันว่า อาจเป็นเพราะคนเอเชียฉีดวัคซีนบี.ซี.จี.ป้องกันวัณโรคหรือไม่ ขณะที่คนอเมริกันและคนในยุโรปตะวันตกไม่ฉีด ต้องรอให้สายพันธุ์เดลต้าเกิดขึ้นในคนอินเดีย เชื้อสายพันธุ์เดลต้าจึงระบาดได้ทั้งคนผิวขาวและคนเอเซีย แต่คนผิวดำในทวีปแอฟริกายังพบไม่มาก
“เมื่อสายพันธุ์โอมิครอน เกิดขึ้นในคนผิวดำประเทศบอตสวานา แล้วกระจายมาประเทศแอฟริกาใต้ ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นแซงหน้าสายพันธ์เดลต้าในแอฟริกาใต้แล้ว ผมเชื่อว่าสายพันธุ์โอมิครอนจากนี้ไป จะระบาดเป็นวงกว้างในคนผิวดำในทวีปแอฟริกา และจะกระจายต่อไปทั่วโลก เล่นงานทุกคน ทั้งคนผิวขาว คนเอเซีย คนผิวดำ เสมอภาคกัน และอาจแทนที่สายพันธุ์เดลต้าในไม่ช้า”นพ.มนูญกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี