กรมควบคุมโรคเปิดไทม์ไลน์พนักงานโรงแรมที่สัมผัสใกล้ชิดกับชายชาวอเมริกันติดโอไมครอน ล่าสุดมีผลตรวจเป็นลบ เผยสถานการณ์ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 54 ประเทศแล้ว ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และยังไม่พบมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์ดังกล่าว มีระยะการฟักตัวประมาณ 2-5 วัน อัตราการแพร่เชื้อเร็วอยู่ที่ 2-5 เท่ามีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ถือว่าน่าจะเป็นข่าวดีอาจเป็นสัญญาณที่ช่วยให้ก้าวไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้เร็วขึ้น
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนว่า กรณีชายชาวอเมริกันวัย 35 ปี เดินทางมาจากสเปน และพบติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นรายแรกของไทยนั้น จากการตรวจสอบไทม์ไลน์พบมีผู้สัมผัสใกล้ชิดที่เป็นพนักงานโรงแรมทั้งหมด 17 คน ในจำนวนนี้ 16 คนผลตรวจหาเชื้อโควิดออกมาเป็นลบ มีเพียง1 คนเท่านั้นที่ต้องสงสัยติดเชื้อโควิด คือพนักงานเสิร์ฟอาหารของโรงแรม เป็นชายไทยอายุ 44 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมาแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน โดยพนักงานรายนี้ได้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับชายชาวอเมริกันที่ติดเชื้อโอไมครอน ในวันที่ 1 ธ.ค.64 โดยนำอาหารเข้าไปเสิร์ฟให้ที่ห้องพักและรอรับการเซ็นเอกสาร ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยระหว่างนั้นมีการสวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่
จากนั้นวันที่ 2 ธ.ค.ปฏิบัติงานด้านเอกสารอยู่ที่โรงแรม,3 ธ.ค.เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับครอบครัวอีก 4 คนด้วยรถยนต์ส่วนตัว และแวะรับญาติที่จังหวัดนครราชสีมาอีก 1 คน จากนั้นไปแวะตลาดแถวบ้าน โดยระหว่างเดินทางยืนยันมีการสวมหน้ากากตลอดเวลา ,4 ธ.ค.อยู่บ้านตลอด และได้รับแจ้งว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ,5 ธ.ค.เข้าเก็บตัวอย่างเชื้อที่ รพ.พิบูลมังสาหาร และส่งมาตรวจหาเชื้อโควิดที่สถาบันบำราศนราดูร และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ , 6 ธ.ค. เดินทางกลับ กทม. ได้รับการแจ้งเบื้องต้นว่าต้องสงสัยติดเชื้อโควิด จึงเข้ารักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะที่สมาชิกในครอบครัวที่สัมผัสใกล้ชิดทั้ง 5 คน ก็เข้าสู่ระบบการกับตัวเฝ้าสังเกตอาการ และอยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อ
นพ.จักรรัฐ ยืนยันผลตรวจหาเชื้อโควิด 2 ครั้งล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ พบว่า พนักงานโรงแรมรายนี้ มีผลตรวจเป็นลบ ไม่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ทั้งนี้ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยจะมีการตรวจซ้ำอีกครั้งพร้อมกับพนักงานโรงแรมกลุ่มเสี่ยงอีก 16 คน ประมาณวันที่ 12- 13 ธ.ค.นี้ พร้อมชี้แจงว่าสาเหตุที่พบเชื้อต้องสงสัยติดโควิดในครั้งแรกในการตรวจพนักงานรายนี้ อาจเป็นเพราะเขาเคยติดเชื้อ และหาย ไปก่อนแล้วโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังพบกลุ่มเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดที่เป็นพนักงานในสนามบินอีก2 คน ผลตรวจหาเชื้อเป็นลบ
ทั้งนี้ ทีมสอบสวนโรคยังคงติดตามสอบสวนโรคผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเพิ่มระบบการเฝ้าระวังสุ่มตรวจหาสายพันธุ์โอไมครอนใน 3 กลุ่มหลักๆคือ กลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แล้วเจอผลตรวจ RT-PCR เป็นบวก ,กรณีที่พบมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนเกิดเป็นคลาสตอร์ใหม่ในสถานที่เสี่ยงต่างๆ และผู้ที่มีอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตจะต้องมีการตรวจค้นหายืนยัยว่าเป็นโควิดสายพันธุ์ใด ใช่สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์โควิดสายพันธุ์โอไมครอนทั่วโลกพบมีผู้ติดเชื้อใน 54 ประเทศแล้ว แบ่งเป็นพบติดเชื้อในประเทศ 19 ประเทศ ติดเชื้อจากผู้เดินทางมาจากต่างประเทศอีก 35 ประเทศ และจากข้อมูลในช่วงเกือบ 10 วันที่ผ่านมายัง ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และยังไม่พบมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์ดังกล่าว มีระยะการฟักตัวประมาณ 2-5 วัน อัตราการแพร่เชื้อเร็วอยู่ที่ 2-5 เท่า มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถือว่าน่าจะเป็นข่าวดีอาจเป็นสัญญาณที่ช่วยให้ก้าวไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้เร็วขึ้น แต่ยังต้องช่วยกันป้องกันตัวเองอย่างเข้มข้นไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นอย่างแท้จริง สำหรับวัคซีนที่มีอยู่ในตอนนี้ยังคงมีประสิทธิภาพในการช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิดโอไมครอนได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี