วันที่ 14 มกราคม 2564 เวลา 14.00 น. ที่ สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปทส.ตร.เป็นประธานแถลงข่าวจับกุมตัว นายรัชชานนท์ เจริญทรัพย์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทองผาภูมิ ที่ จ.1/2565 นายศุภชัย ทรัพย์เจริญ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่ จ.2/2565 นายจอแห่ง พนารักษ์ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ จ.3/2565 นายกูกือ ยินดี อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายที่ จ.4/2565 และ นายโชเอ ไม่มีนามสกุล อายุ 66 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ จ.5/2565 พร้อมของกลางซากเสือโคร่ง จำนวน 2 ซาก น้ำหนัก 52.5 กิโลกรัม อาวุธปืนลูกซองยาว จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนยาว ขนาด .22 ติดลำกล้อง จำนวน 1 กระบอก อาวุธยาวไทยประดิษฐ์ (ปืนแก๊ป) จำนวน 2 กระบอก กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 50 นัด และปลอกกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 5 ปลอก
การแถลงข่าวในครั้งนี้มี พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข ผบช.ประจำ สนง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมา รอง ผบช.ภาค 7 พล.ต.ต.มานะ กลับสัตบุศย์ ผบก.ปทส. พล.ต.ต.ไพโรจน์ คุ้มภัย ผบก.ก.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.สันติ พิทักษ์สกุล ผกก.สภ.ทองผาภูมิ พ.ต.ท.ณวัสพล สารีบุตร สว.ส.ภ.ป๊ล๊อก นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)นายเจริญ ใจชน หน.อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ นายนภเดช เกลียวศิริกุล นายอำเภอทองผาภูมิ เข้าร่วม
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดฐาน 1.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ 3.ร่วมกันเก็บหาของป่าอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาต
4.ร่วมกันล่อ หรือนำสัตว์ป่าออกไปหรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใดๆในเขตอุทยานแห่งชาติ 5.ร่วมกันเข้าไปดำเนินกิจการใดๆเพื่อหาผลประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติ 6.ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ
7.ยิงปืนทำให้เกิดระเบิด หรือจุดดอกไม้เพลิงในเขตอุทยานแห่งชาติ 8.ร่วมกันทิ้งสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงซึ่งอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ในเขตอุทยานแห่งชาติ 9.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 10.ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีเมื่อวันที่ 12 ม.ค.65 เวลา 19.00 น.เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้ตรวจยึดซากเสือโคร่ง จำนวน 2 ซาก และอาวุธปืนตามบัญชีของกลางจำนวนดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก เพื่อให้สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปีล๊อก และ สภ.ทองผาภูมิ ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้ร่วมกันสอบสวนสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมาวันที่ 13 ม.ค.เวลาประมาณ 06.00 น.เจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่า คนร้ายที่ยิงเสือโคร่งดังกล่าว มีจำนวนทั้งสิ้น 5 คน และมีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านปิล๊อกคี่ หมู่ 4 ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จึงได้ร่วมกันเดินทางไปติดตามหาตัว เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดทองผาภูมิเพื่อออกหมายจับ
ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่ 1-4 ให้การรับสารภาพว่าพวกตนได้กระทำความผิดจริงโดยอ้างว่าสาเหตุในการยิงเสือโครงครั้งนี้เนื่องจากพวกตนมีอาชีพเลี้ยงวัวและควายแต่เนื่องจากในช่วงนี้ เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมสูง จึงนำต้อนฝูงวัวและควาย เอาไปเลี้ยงในป่าเขาและที่ผ่านมาวัวและควายของพวกตนถูกเสือกินไปแล้วกว่า 20 ตัว จึงนำอาวุธปืนที่พวกตนมีอยู่นำติดตัวไปเพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงแล้วยิงเสือโคร่งไปจำนวน 2 ตัว และได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานทองผาภูมิตรวจพบขณะนั้นพวกตนตกใจจึงวิ่งหลบหนีไป ส่วนนายโซเอ ไม่มีนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 5 ให้การว่าได้เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติจริง แต่ไม่ได้ร่วมยิงเสือกับผู้อื่นแต่อย่างใด
สำหรับความผิดและบทกำหนดโทษ ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต,ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปีน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ,8 ทวิ (รับโทษตามมาตรา 72 ทวิ วรรคหนึ่ง อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ร่วมกันเก็บหาของป่าอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 รับโทษตาม มาตรา 31 อัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึง 5 หมื่นบาท
ร่วมกันล่อหรือนำสัตว์ป่าออกไปหรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใดๆในเขตอุทยานแห่งชาติ,ร่วมกันเข้าไปดำเนินกิจการใดๆเพื่อหาผลประโยชน์ในอุทยาน ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับสำสัตว์หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆเข้าไปในอุทยานแห่งชาติยิงปืนทำให้เกิดระเบิด หรือจุดดอกไม้เพลิงในเขตอุทยานแห่งชาติ ร่วมกันทิ้งสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงซึ่งอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ในเขตอุทยานแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19(3),(6),(7),(8),(9) รับโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รับโทษตามมาตรา 43 ผิด ม.19 (3)อัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 44 ผิด ม.19(6)(8)(9) จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๔๕ ผิด ม.19(7) ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท
ร่วมกันล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 12 และ17 รับโทษตาม มาตรา 29 อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 92 อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลำดับ
ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อัตราโทษสูงสุดของทุกข้อหาจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : คืบหน้าคดี5พราน! ผญบ.ยันแค่คนเลี้ยงวัว คาดเป็นเสือโคร่งจากประเทศเพื่อนบ้าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี