ติดเชื้อ7,793-มาจากตปท.270คน
โควิดไทยไม่แผ่ว
ชลบุรีป่วยสะสมนับหมื่นราย
นายกฯยันรบ.พร้อมรับผู้ป่วยพุ่ง
ตั้งรพ.สนาม118รับได้2.4หมื่นเตียง
ปลื้มแผนชะลอโควิดระบาดทำได้ดี
ให้ขรก.สปน.ทำงานที่บ้านถึง31ม.ค.
ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด–19 รายวันเพิ่ม 7,793 ราย มาจากต่างประเทศ 270 ราย ตาย 18 ศพ กทม. ยังรั้งที่ 1 ติดเชื้อสูงสุด 777 ราย ปากน้ำตามมาอันดับ 2 ศบค.ประกาศแนวทางฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ปชช. สธ.ย้ำบูสเตอร์กระตุ้นภูมิสู้โอมิครอนได้ถึง 90% ปลัด สปน.แจ้งให้ข้าราชการทำงานที่บ้านต่อถึง 31 มกราคม-ตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ นายกฯยันรัฐบาลเตรียมพร้อมโรงพยาบาลพอรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ชี้แผนชะลอระบาดคุมโควิดได้ดี
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิต ซึ่งสถานการณ์โดยรวมยังคงทรงตัว
ติดเชื้อเพิ่ม7,793-ตาย18คน
ศบค.ระบุว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 7,793 ราย จำแนกเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,459 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 42 ราย ติดเชื้อจากผู้เดินทางต่างประเทศ 270 ราย และติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขังเพิ่ม 22 รายทำให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 92,973 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 63 2,316,408ราย หายป่วยเพิ่มวันนี้ 5,202 ราย หายป่วยสะสม 48,630 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 63 2,217,124 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิตมี 18 คน เสียชีวิตสะสม 218 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 21,916 คน ส่วนผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ 77,368 ราย แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 43,645 ราย โรงพยาบาลสนาม 33,723 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 527 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 105 ราย โดยผู้เสียชีวิต 18 รายนั้น เป็น ชาย 11 ราย หญิง 7 รายในจำนวนนี้เป็นคนไทย 16 ราย อังกฤษและอเมริกันอย่างละ 1 ราย โดยกทม.เสียชีวิต 2 ราย สมุทรปราการ 1 ราย ชัยภูมิ นครราชสีมาจังหวัดละ 2 ราย เชียงใหม่ 2 ราย แม่ฮ่องสอน 1 ราย นครศรีธรรมราช แล ะภูเก็ต จังหวัดละ 2 ราย สุราษฎร์ธานี 1 ราย ชลบุรี 3 ราย ปราจีนบุรีและสุพรรณบุรี จังหวัดละ 1 ราย
กทม.ครองที่1ป่วยรายใหม่777คน
สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่สูงสุด อันดับ 1 เป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) 777 ราย สะสม 8,436 ราย อันดับ 2 สมุทรปราการ 681 ราย สะสม 6,687 ราย อันดับ 3 ชลบุรี 525 ราย สะสม 10,394 ราย อันดับ 4 ภูเก็ต 420 ราย สะสม 4,493 ราย อันดับ 5 นนทบุรี 419 ราย สะสม 3,504 ราย อันดับ 6 อุบลราชธานี 269 ราย สะสม 5,042 ราย อันดับ 7 ปทุมธานี 239 ราย สะสม 1,581 ราย อันดับ 8 นครศรีธรรมราช 194-ราย สะสม 2,444 ราย อันดับ 9 เชียงใหม่ 179 ราย สะสม 2,892 ราย และอันดับ 10 ขอนแก่น 177 ราย สะสม 3,321 ราย
ผู้ติดเชื้อมาจากตปท.270คน
ศบค.ยังรายงานผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 270 ราย แบ่งเป็นรัสเซีย 36 ราย สหรัฐอเมริกา 28 ราย สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน 25 ราย อินเดีย 18 ราย สวีเดน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และเยอรมนี ประเทศละ 15 ราย สหราชอาณาจักร 13 ราย ฝรั่งเศล 11 ราย อิสเอลและอิตาลี ประเทศละ 8 ราย สเปน 7 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 6 ราย ออสเตรเลีย 5 ราย ศรีลังกา โปลแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ประเทศละ 4 ราย ฟินแลนด์ แม็กซิโก ฟิลิปปินส์ แคนาดา ตุรกี นอร์เวย์ มัลดีฟส์ ประเทศละ 3 ราย รัฐกาตาร์ คาซัคสถาน ญี่ปุ่น ออสเตีย คัมโบเดีย ฮังการี และสิงคโปร์ ประเทศละ 2 ราย สาธารณรัฐลิทัวเนีย รัฐสุลต่านโอมาน มาเลเซีย เซอร์เบีย เดนมาร์ก เนปาล ยูเครน เอสโทเนีย บลาซิล โคลัมเบีย อิหร่าน เกาหลีใต้ และไม่ระบุประเทศๆละ 1 ราย
ไทยฉีดวัคซีนสะสมเฉียด109ล้านโดส
ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของไทยได้แล้วทั้งหมด 108,916,435 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 เพิ่มขึ้น 56,398 ราย คิดเป็นร้อยละ 71.8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด เข็มที่ 2 เพิ่มขึ้น 144,824 ราย คิดเป็นร้อยละ 65.9 ของจำนวนประชากรทั้งหมด และเข็มที่ 3 เพิ่มขึ้น 401,265 ราย คิดป็นร้อยละ 13.5 ของจำนวนประชากรทั้งหมด
เคยติดเชื้อให้บูสเตอร์ด้วยแอสตร้าฯ
นอกจากนี้ ศบค. ยังออกประกาศแนวทางฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ประชาชน โดยผู้ที่ถึงกำหนดรับวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค และเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2564 ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นแอสตร้าฯ ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าฯช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2564 ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นฟเซอร์ และผู้ที่เคยรับวัคซีนชนิดเชื้อตายครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นแอสตร้าฯ ส่วนผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดให้ฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตร้าฯ สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบเกณฑ์ หรือครบตามเกณฑ์น้อยกว่า 2 สัปดาห์ก่อนติดเชื้อ ทั้งนี้ สามารถใช้สูตรอื่นที่ผ่านการรับรองทางวิชาการได้ ภายใต้จำนวนวัคซีนที่มีในพื้นที่
บูสเตอร์ป้องกันติดโอมิครอนได้90%
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์และประสิทธิผลวัคซีนว่า ขณะนี้มีการฉีดวัคซีนไปได้แล้วกว่า 108 ล้านโดส ในเดือนมกราคม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ตั้งเป้าการฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 9 ล้านโดส ขณะนี้ผ่านไปครึ่งทางฉีดวัคซีนได้ตามเป้า เมื่อติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของวัคซีนด้วยการวัดผลในพื้นที่จริงพบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพดีมาก ในการป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิดทุกสายพันธุ์ได้ถึง 90-100% ทั้งฉีดสูตรปกติ สูตรไขว้ หรือบูสเตอร์โดส และป้องกันการติดเชื้อได้ดีพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคือ ระยะเวลาฉีดวัคซีน หากผ่านไป 3 เดือนแล้วประสิทธิภาพจะลดลง การได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ จากข้อมูลบ่งชี้ว่า ผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 3 ทั้งสูตรแอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์มีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้มากถึง 80-90% จากการระบาดที่กาฬสินธุ์
สปน.ให้ขรก.ทำงานที่บ้านถึง31มค.
ขณะที่นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ลงนามประกาศสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแนวทางปฎิบัติงานภายในที่พัก และมาตรการป้องกันแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ฉบับที่ 11) หลังสถานการณ์ระบาดหลายประเทศทวีความรุนแรง สายพันธุ์โอมิครอนกระจายรวดเร็วและมีโอกาสทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น และไทยตรวจพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากขึ้น จึงต้องปรับพื้นที่สถานการณ์ ปรับปรุงมาตรการป้องกันและควบคุมโรคให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้บุคลากรสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ปฏิบัติงานภายในที่พัก (เวิร์ก ฟอรม โฮม) ต่อเนื่องไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ตั้งแต่วันที่ 15-31 มกราคม
สั่งตรวจATKทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ ให้รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการศูนย์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ผู้อำนวยการกลุ่มตรวจสอบภายใน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ปฏิบัติงานที่ สปน. อีกทั้ง ให้หัวหน้าส่วนราชการในสังกัด สปน.กำกับ ควบคุม ดูแลบุคลากรในสังกัดให้ปฏิบัติงานในที่พักในเวลาราชการ ทั้งนี้ บุคลากรที่เดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ ให้ปฏิบัติงานในที่พัก อีกทั้ง ให้บุคลากรที่เข้าปฎิบัติงานที่ สปน.ตรวจคัดกรองหาเชื้อ โควิดโดยชุดแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในวันแรกที่เข้าปฎิบัติงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม เป็นต้นไป
นายกฯยันรพ.พร้อมรับผู้ติดเชื้อ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เตือนประชาชนอย่าประมาท แม้เชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่รุนแรงในเด็กและคนสูงอายุ แต่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวดเร็วทั่วโลก และยืนยัน รัฐบาลเตรียมพร้อมรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้เพียงพอ ขอประชาชนร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention งดเข้าสถานที่เสี่ยง ชะลอเดินทาง ตามที่สธ.ประกาศเตือนภัยระดับ 4 หากสถานการณ์ดีขึ้น การระบาดลดลง อาจพิจารณาลดระดับการเตือนภัยระยะถัดไป
ตั้งรพ.สนาม118รับได้2.4หมื่นเตียง
สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ ตามระดับอาการ ข้อมูลถึงวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ดังนี้ 1. สถานะโรงพยาบาลสนามของ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมโรงพยาบาลสนามจาก 3 หน่วยงานมีทั้งหมด 118 แห่ง พร้อมรับ 24,646 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 2,611 เตียง สามารถรับได้เพิ่มเติมอีก 22,035 เตียง และ 2. สถานะศูนย์แยกกักชุมชน (Community Isolation) ของ อว. ปัจจุบันมี 11 แห่ง พร้อมรับ 2,951 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 201 เตียง รองรับได้เพิ่ม 2,705 เตียง
แผนชะลอระบาดคุมโควิดได้อยู่
ทั้งนี้ 14 วันที่ผ่านมา แผนชะลอการระบาดถือว่าสามารถควบคุมได้ดี ขอความร่วมมือประชาชนมารับวัคซีนให้ครบตามที่สาธารณสุขแนะนำ เน้นมาตรการ ATK First การดำเนินการมาตรการทางการแพทย์ มีระบบสายด่วนประสานผู้ติดเชื้อ ติดต่อได้ที่สายด่วน 1330 หรือสายด่วนในระดับจังหวัด ขณะนี้ เน้นดูแลที่บ้าน Home Isolation เป็นหลัก เพราะจำนวนผู้ป่วยอาการน้อยมากมีจำนวนมากที่สุด ประมาณ 90% การดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีระบบติดตาม ดูแลโดยบุคลากรแพทย์จากโรงพยาบาล หากดูแลที่บ้านไม่ได้ดูแลผ่านศูนย์ระดับชุมชน Community Isolation ถ้าอาการหนักส่งรักษาในโรงพยาบาลได้ทันที และขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วนช่วยกันป้องกันตัวเองตามมาตรการ VUCA ประกอบด้วย V- Vaccine, U-Universal Prevention, C- Covid-19 free setting และ A- ATK เพื่อป้องกันตัวเองและลดแพร่ระบาด
อานิสงส์ฉีดเชื้อตายครบบูสเข็ม3ภูมิพุ่ง
วันเดียวกัน มีความเห็นจาก ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงการฉีดวัคซีน กระตุ้นเข็ม 3 หลังให้เชื้อตายครบ 2 เข็ม ข้อมูลการศึกษาวิจัยของศูนย์ฯเห็นชัดเจนและได้รับการลงพิมพ์ในวารสารแล้ว การให้วัคซีนเชื้อตายครบ 2 เข็ม เป็นการปูพื้นที่ดีมาก เพื่อกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีน Virus Vector (AZ) หรือ mRNA (PZ) การกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้สูงมากถึง 2 log scale หรือประมาณ 100 เท่า และภูมิต้านทานดังกล่าวขัดขวางสายพันธุ์ แอลฟาและเดลต้าได้ดี
นอกจากนี้ การศึกษาระดับเซลล์ CMIR ก็พบว่าตอบสนองดี ขณะนี้การศึกษาจากต่างประเทศตามมาอีกเป็นจำนวนมาก ที่ลงพิมพ์ใน MedRxiv โดยทีมยุโรปและจีน ที่ศึกษา การกระตุ้นด้วย mRNA ตามหลังวัคซีน Sinovac กระตุ้นภูมิได้สูงมากเช่นกับของเรา การปูพื้นด้วยเชื้อตาย 2 เข็ม จึงเป็นวิธีการที่ดี ในการกระตุ้นในเวลาต่อมา และได้ระบบภูมิต้านทานที่สูงมาก และน่าจะขัดขวางโอมิครอนด้วย
ด้อยค่าวัคซีนเชื้อตายทำไทยเสียโอกาส
“จากการศึกษาของเราจะเห็นว่า การกระตุ้นเข็ม 3 ถ้าใช้วัคซีนเชื้อตายกระตุ้น ภูมิต้านทานจะสูงขึ้นเพียง 1 log หรือประมาณ 10 เท่า แต่ถ้าใช้ AZ จะสูงขึ้นไปประมาณ 2 log หรือเกือบร้อยเท่า ถ้าเป็น mRNA จะสูงขึ้นถึง 200 เท่า เมื่อเปรียบเทียบอาการข้างเคียงของวัคซีนทั้ง 3 ตัวแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าวัคซีนเชื้อตายมีอาการข้างเคียงน้อยที่สุด ขณะนี้เรากำลังศึกษาเพิ่มเติมถึงปฏิกิริยาขัดขวางสายพันธุ์โอมิครอน โดยใช้เชื้อเป็นโอมิครอน ที่แยกได้ในประเทศไทย ผลออกสัปดาห์หน้า”ศ.นพ.ยงระบุ และว่า ส่วนการศึกษาการกระตุ้นเข็มสาม หลังให้วัคซีนสูตรไขว้ SV-AZ นั้น ทำเสร็จแล้ว ที่ผ่านมาเราเสียโอกาสไปมาก จากการด้อยค่า ของวัคซีนเชื้อตาย
อุบลฯปิดเรียนออนไซต์ต่ออีก1สัปดาห์
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ระบาดในหลายจังหวัด ที่ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธาน มีมติให้โรงเรียนทั้งจังหวัดงดการเรียนการสอนแบบออนไซต์ ให้เรียนออนไลน์ต่อไปอีก 1 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่18-24 มกราคม เพราะสถานการณ์ระบาดในจังหวัดยังไม่ดีขึ้น ยังพบคนติดเชื้อวันละเกือบ 300 คน กระจายหลายอำเภอ และมีคนกลุ่มเสี่ยงที่ถูกกักตัวสังเกตอาการเกือบ 4,000 คน ปัจจุบันจังหวัดมีคนติดเชื้อทั้งสิ้น 3,920 คน ในจำนวนนี้ 80 คน เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา อีก 772 คน เป็นเด็กอายุ 6-18 ปี ติดเชื้อจากคนในครอบครัว จึงมีมติให้ปิดเรียนต่อรอสถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้
ติดเชื้อยังพุ่งวันเดียวเฉียด300คน
สำหรับวันเดียวกันนี้ มีผู้ติดเชื้อ 269 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่มีการระบาดเมื่อปี 2563 รวม 198 คน ส่วนคลัสเตอร์ร้านอาหารกึ่งผับเอกมัย 487 ยังพบอีก 4 คน รวมมีคนติดเชื้อจากคลัสเตอร์นี้เพียงแห่งเดียว 780 คน คนกลุ่มเสี่ยงต้องกักตัวสังเกตอาการ 2,196 คน และเกิดการแพร่ระบาดตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. 2564 ถึงปัจจุบันเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 แล้ว ส่วนร้านอาหารกึ่งผับในต่างอำเภอที่เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ร้านเอกมัย 487 อีก 3 แห่ง ก็ยังพบคนติดเชื้อรวม 344 คน กลุ่มเสี่ยงอีก 728 คน
โคราชปิด2หมู่บ้านโยงเลี้ยงปีใหม่
ส่วนที่จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลัสเตอร์ช่วงปีใหม่ยังระบาดหนัก โดยประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา สั่งปิด 2 หมู่บ้าน หมู่ 7 บ้านนาแค และหมู่ 11 บ้านไทยสามัคคีธรรม ต.โนนสำราญ อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา ห้ามเข้า-ออก 14 วัน หลังพบการระบาดจากการเดินทางกลับบ้านช่วงปีใหม่แล้ว รวมกลุ่มกินเลี้ยงจนเกิดติดเชื้อในครอบครัว และกระจายสู่ญาติ รวม 11 คน และพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเกือบ 200 คน เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ อยู่ระหว่างรอผลตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม
นครพนมวันเดียวเพิ่ม58คน
ที่จ.นครพนม วันเดียวกันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิดอีก 58 คน รวมยอดติดเชื้อสะสม 5,331 คน ทั้งนี้ จ.นครพนม มีตัวเลขผู้ป่วยเป็นเลขตัวเดียวมานานนับเดือน แต่เริ่มเป็นหลักสิบตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม หลังเทศกาลปีใหม่ รวมผู้ติดเชื้อจนถึงวันนี้ (15 มกราคม)หรือ 12 วันที่ผ่านมาคือ 519 คน จากคลัสเตอร์งานบวช วงเหล้า หมอลำ ห้างดัง ล่าสุดจากร้านเหล้าแห่งหนึ่งย่านบันเทิงที่ได้รับความนิยม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี