ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง 4 ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กทม.ในชั้นวินิจฉัย อุทธรณ์คดีทุจริตจัดซื้อรถเรือดับเพลิง กทม.มูลค่ากว่า 6 พันล้าน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 17 มกราคม 2565 ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษา ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ. 2/2564 หมายเลขเลขแดงที่ อม.อธ. 3/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุวิทย์ ศิลาทอง อดีต ผอ.กองกฎหมายและคดี สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร น.ส.สุทิพย์ ทิพย์สุวรรณ รองผอ.สำนักงบประมาณ สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร พ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนสิริ รองผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และพ.ต.ท.รักศิลป์ รัตนวราหะ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ระดับ7 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
โดยคดีนี้ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการบริหารโครงการฯ มีอำนาจหน้าที่บริหารโครงการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร แต่การที่พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.นำร่าง A.O.บ. ให้คณะกรรมการบริหารโครงการฯ พิจารณาก่อนลงนามใน A.O.บ. ที่มีมูลค่าสูงถึง 133,749,750 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,683, 484,000 บาท เพียง 1 วัน จึงเป็นที่สงสัยว่าเป็นการกระทำเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงในการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงที่มีราคาสูงมิให้จำเลยทั้งสี่ล่วงรู้ เพื่อให้การพิจารณาร่าง A.O.U. ผ่านไปได้โดยเร็ว และร่าง A.O.บ. ระบุให้มีการลงนามระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรีย ทำให้จำเลยทั้งสี่เข้าใจว่าเป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ การรับทราบและตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างA.O.บ. จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสี่เข้าใจว่าได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งกรุงเทพมหานครโดยถูกต้องแล้ว
พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่ได้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏเท่าที่ทำได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการแล้ว ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ
ศาลฎีกา เห็นว่า เมื่อ A.O.บ. เป็นการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษตามมติของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุของกรุงเทพมหานคร และเมื่อเปรียบเทียบกับการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษของกระทรวงกลาโหม ปรากฏว่ากรุงเทพมหานครมีการเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อทำความตกลงกับสาธารณรัฐออสเตรียก่อนที่จะมีการแต่งตั้งจำเลยทั้งสี่เป็นคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ซึ่งเป็นการสลับขั้นตอนผิดไปจากการดำเนินการตามปกติ และยังเป็นการจำกัดอำนาจของคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษให้ต้องจัดซื้อตามราคาที่กำหนดมาแล้ว ทั้งการแต่งตั้งจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวก่อนจะมีการลงนามซื้อขายในวันที่ 27 ส.ค 2557 เพียง 7 วัน เป็นการจำกัดให้จำเลยทั้งสี่มีเวลาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้น้อยที่สุด แม้ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่มีการแต่งตั้งจำเลยทั้งสี่ก็มีการดำเนินการต่าง ๆ โดยมุ่งหมายเพื่อทำข้อตกลงซื้อขายมาโดยตลอด การแต่งตั้งจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวจึงเป็นเพียงเพื่อให้ครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร เรื่อง การพัสดุ พ.ศ. 2538 ประกอบกับคดีนี้เป็นการจัดซื้อจากต่างประเทศที่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าต่างตอบแทนในราคาที่เท่ากัน จะอนุมานว่าจำเลยทั้งสี่ทราบข้อเท็จจริงว่า การจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงเป็นหน้าที่ตามปกติและเป็นไปได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเพียงกลไกที่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อนำไปสู่การจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงตามที่มีการดำเนินการโดยส่วนอื่น ๆ มาแต่ต้น จึงยังฟังไม่ได้ว่าการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยในราคาสูงนั้นเกิดจากการที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตรวจสอบหรือสืบราคาเปรียบเทียบ
นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏผลประโยชน์อย่างอื่นจากการกระทำดังกล่าวที่จะเชื่อมโยงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ว่าต้องการได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตอบแทน พยานหลักฐานตามทางไต่สวนยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่มีเจตนาปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่บริษัทสไตเออร์ฯ ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด
ทั้งนี้คดีอาญาศาลต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจะถือเอาข้อเท็จจริงในคดีก่อนมาผูกพันเทียบเคียงสำหรับการกระทำที่แตกต่างกัน โดยที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีด้วยไม่ได้
คำพิพากษาที่โจทก์อ้างไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาในการกระทำความผิดร่วมกับพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่มานั้น องค์คณะผู้พิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุก นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย เป็นเวลา 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา และจำคุก พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เป็นเวลา 10 ปี ไม่รอลงอาญา โดยทั้ง 2 คนมีความผิดต่อ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ในกรณีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างรถและเรือดับเพลิง กรุงเทพมหานคร โดยวันฟังคำพิพากษานายประชา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษา มีพฤติการณ์หลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 คนไว้
ส่วน นายโภคิน พลกุล อดีตรมว.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศาลให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่พบการกระทำความผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี