ป่วยโควิดรายวัน 7,686 ตาย 13 ศพ
‘สธ.’พอใจยอดติดเชื้อ
ย้ำรักษาตัวที่บ้านมีประสิทธิภาพ
‘อัศวิน’จี้คุมเข้มร้านอาหารกึ่งผับ
ต้องผ่านมาตรฐาน-ดื่มไม่เกิน 5 ทุ่ม
นายกฯให้ระวังโอมิครอนพุ่งสูงอีก
ติดเชื้อรายวันทรงตัวที่ 7,686 ราย หายป่วยกลับบ้าน 7,445 ราย เสียชีวิต 13 ศพ กทม.ยังรั้งที่ 1 ใน 10 อันดับจังหวัดติดโควิดสูงสุด ป่วยทะลุหลักพัน“ปากน้ำ-ภูเก็ต”ตามมาติดๆ สธ.ชี้สถานการณ์ระบาดดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ พอใจระบบรักษาตัวที่บ้านมีประสิทธิภาพ หลังผ่อนคลายมาตรการจำนวนติดโควิดเพิ่มเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องทยอยเปิดกิจกรรมกิจการ โดยประเมินควบคู่กับสถานการณ์เตียงไอซียู ที่ขณะนี้รองรับได้ ย้ำผับบาร์ปิดยาว แต่ถ้าปรับเป็นร้านอาหารกึ่งผับจะเปิดได้ต้องผ่านมาตรการโควิดฟรีเซตติ้ง
เมื่อวันที่ 23มกราคม ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 รายวัน ที่ตรวจพบผู้ป่วยใหม่ 7,686 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 2,377,500 ราย หายป่วยวันนี้ 7,445 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 2,272,009 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 83,459 ราย อาการหนัก 564 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 122 ราย ผู้เสียชีวิต 13 ราย เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 22,032 ราย
กทม.ยังป่วยหลักพัน-ปากน้ำที่2
สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดมี ดังนี้ 1.กรุงเทพมหานคร 1,150 ราย 2.สมุทรปราการ 688 ราย 3.ภูเก็ต 412 ราย 4.ชลบุรี 394 ราย 5.นนทบุรี 325 ราย 6.ขอนแก่น 275 ราย 7.ปทุมธานี 253 ราย 8.อุบลราชธานี 155 ราย 9.ลพบุรี 141 ราย 10.เชียงใหม่ 125 ราย ทั้งนี้ ในกลุ่ม 10 อันดับข้างต้น พบว่า กรุงเทพฯ มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ 1,150 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 22 มกราคม อยู่ที่ 1,143 ราย เช่นเดียวกับ สมุทรปราการอยู่ที่ 688 ราย เพิ่มขึ้นจากอยู่ที่ 645 ราย ภูเก็ต 412 ราย เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 385 ราย ขยับแซง ชลบุรี ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ขณะที่เชียงใหม่ 125 ราย ลดลงจากวานนี้อยู่ที่ 145 ราย แต่ขยับกลับมาอยู่อันดับ 10 ของประเทศ
สธ.ชี้สถานการณ์ดีกว่าที่คาด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการระบาดโควิดในประเทศ ที่แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อมากขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการว่า ขณะนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เฉลี่ยที่ 8,000 รายต่อวัน ยังไม่ถือว่าพุ่งขึ้นมาก ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงก็ไม่มาก เป็นไปตามที่ฝ่ายสาธารณสุขได้คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ จริงๆ ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้ แต่ด้วยสายพันธุ์โอมิครอนที่ติดเชื้อง่าย แพร่เชื้อเร็ว เราจึงยังต้องระวังอยู่ต่อเนื่อง เตียงไอซียูของโรงพยาบาล (รพ.) โรงเรียนแพทย์ ยังมีเพียงพอรองรับ ต่างจากช่วงเฝ้าระวังเชื้อเดลตา ที่พบว่าผู้ป่วยอาการหนักค่อนข้างมาก ย้ำในผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ เราจะให้รักษาที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพ เพราะสะดวก มีช่องทางติดต่อแพทย์ หากผู้ป่วยอาการมากขึ้น เท่าที่ดูผู้ติดเชื้อที่อยู่ HI แล้ว อาการเปลี่ยนต้องเข้าโรงพยาบาลก็มีไม่มาก
เตียงICUรับได้-ทยอยเปิดกิจกรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังมีการขยายมาตรการให้นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ในร้านอาหารได้ถึงเวลา 23.00 น.ใน 33 จังหวัด คาดการณ์ตัวเลขติดเชื้อไว้อย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า เราติดตามสถานการณ์ทุกวัน แต่อย่างที่เรียนรู้กันมาคือ เมื่อผ่อนคลายมาตรการใด จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้น ตรงไปตรงมา เพราะถ้าเปิดกิจกรรมแล้วไม่ติดเชื้อเพิ่ม เราก็คงเปิดทุกกิจกรรม แต่ด้วยเราชะลอการเปิดกิจกรรมช่วงแรก เพราะต้องรอประเมินว่าเชื้อโอมิครอน แท้จริงแล้วรุนแรงหรือไม่ แต่ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่า เตียงไอซียูเพียงพอรองรับได้ เราจึงเปิดเป็นขั้นเป็นตอนไป โดยสถานบันเทิงประเภทผับบาร์ คาราโอเกะ ยังไม่เปิดให้บริการ ยกเว้นสถานบันเทิงเหล่านี้จะปรับตัวเองเป็นร้านอาหารที่นั่งดื่มได้ และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการภายใต้มาตรการควบคุมโรคแล้ว
ย้ำร้านกึ่งผับต้องผ่านโควิดฟรีเซ็ตติ้ง
“สำหรับร้านอาหารที่เปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกกอฮอล์นั้น ย้ำว่า ต้องมีมาตรการโควิดฟรี เซ็ตติ้ง (Covid-19 Free Setting) พนักงานรับวัคซีนครบ ตรวจหาเชื้อด้วย ATK ก่อนให้บริการลูกค้า จะไม่อิสระแบบเมื่อก่อน และย้ำเรื่องร้านต้องถ่ายเทอากาศได้” นพ.โอภาส กล่าว
ถามต่อว่า ข้อทวงติงถึงมาตรการ ATK First ก่อนเข้าสถานที่/กิจกรรม อาจมีประโยชน์น้อย เพราะหากเพิ่งรับเชื้อมาแล้วยังตรวจไม่พบ ก็สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว นพ.โอภาส กล่าวว่า ATK เป็นเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้น ที่แน่นอนว่าผลตรวจอาจไม่แม่นยำเท่าการตรวจ RT-PCR แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ เพราะว่าราคาถูกกว่า ตรวจง่าย รู้ผลเร็ว เราจึงใช้ประโยชน์นี้เพื่อคัดกรอง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องไปเจอคนมากๆ เราก็แนะนำว่าให้ตรวจได้ตามความเสี่ยง ป้องกันตัวเองและ คนรอบข้าง เราต้องรู้ว่าแต่ละวิธีมีจุดแข็งจุดอ่อน ดังนั้น จะให้ใช้ ATKแทนRT-PCR ก็คงไม่ใช่ ขอให้มองจุดแข็ง ประโยชน์ของเครื่องมือนั้นๆ ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
นายกฯพอใจแผนคุมโควิด
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พอใจภาพรวมสถานการณ์ผู้ป่วยโควิดรายใหม่ ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อวันนี้ต่ำกว่า 8,000 ราย มอบกระทรวงสาธารณสุขประเมินยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นว่า เป็นเพียงการพุ่งขึ้นระยะสั้นหรือต่อเนื่อง รวมทั้งให้เฝ้าระวังการระบาดที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบการ สถานบันเทิง ร้านอาหาร โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีนที่อาจกลายเป็นการนำเชื้อกลับเข้าสู่ชุมชนหรือครอบครัวได้อีกระลอก ทั้งนี้ สธ.คาดว่าการแพร่ระบาดในประเทศไทยจะเป็นโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเกือบทั้งหมดปลายเดือนมกราคมนี้
ชวนกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนเข็ม3
นายธนกรกล่าวต่อว่า สถานการณ์ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ (23 มกราคม 2565) รวมยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 7,686 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,500 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 186 ราย ผู้ป่วยสะสม 154,065 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 7,445 ราย หายป่วยสะสม 103,515 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 83,459 ราย เสียชีวิต 13 ราย สถานการณ์ทั่วโลก-ยืนยันทั้งหมด 349,565,284 ราย หายแล้ว 277,941,737 ราย เสียชีวิต 5,609,443 ราย โดยล่าสุด ไทยให้บริการวัคซีนโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 113,166,691 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 52,034,740 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 48,143,049 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 12,189,150 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 799,752โดส นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ รัฐบาลจึงขอเชิญผู้อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ช่วยลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและการเสียชีวิต โดยติดต่อรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้านได้
“อัศวิน”เข้มร้านกึ่งผับดื่มถึง5ทุ่ม
ขณะที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงการยกระดับการปฏิบัติการตามแผนเปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการกวดขันตรวจสอบสถานประกอบการและสถานบริการที่ปรับเป็นร้านอาหารให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด รวมถึงการลักลอบเปิดสถานบันเทิง หรือสถานที่เที่ยวกลางคืนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือกระทำผิดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ในสถานการณ์ฉุกเฉินฯว่า ได้สั่งการทุกสำนักงานเขตดำเนินการตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 50) ซึ่งอนุญาตให้สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข และผ่านการตรวจประเมินตามมาตรฐาน SHA+ หรือตามมาตรฐาน Thai Stop Covid 2 Plus : TSC 2+ ที่ความประสงค์จะปรับรูปแบบของสถานที่ดังกล่าว เพื่อการให้บริการในลักษณะที่เป็นร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้ขออนุญาตต่อสำนักงานเขตพื้นที่เพื่อตรวจสอบและประเมินความพร้อมของสถานที่ บุคลากร และการจัดการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคที่กำหนด โดยต้องได้รับอนุญาตภายในวันที่ 15 มกราคม ก่อนเปิดให้บริการได้ภายใต้การกำกับติดตามของพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้ชิด และให้บริการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในร้านได้ไม่เกินเวลา 23.00 น.
เร่งบูสเตอร์คนกทม.รับฟื้นศก.
พล.ต.อ.อัศวินกล่าวอีกว่า สำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรในรูปแบบ “Test and Go” โดยเปิดให้ลงทะเบียน ได้อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เงื่อนไขในการเปิดระบบ “Test & Go” คือ อนุญาตให้เข้ามาได้ทุกประเทศ ปรับการตรวจหาเชื้อโดยใช้วิธี RT-PCR 2 ครั้ง โดยมีหลักฐานการจองโรงแรมที่พักในวันแรก และในวันที่ 5 โดยเป็นโรงแรมที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการ ที่ได้รับการรับรอง เป็น SHA++ AQ หรือ AHO และ มีหลักฐานชำระเงินการตรวจหาเชื้อจำนวน 2 ครั้ง จัดระบบการตรวจสอบ และกำกับการเข้าที่พัก และตรวจหาเชื้อให้ครบ 2 ครั้ง โดยต้องอยู่รอในที่พัก หรือสถานที่ที่กำหนด จนได้รับผลการตรวจ
“อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ามาในระบบ Test and Go จะต้องปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้ กำหนดระบบประกันให้ชัดเจน กรณีประกันไม่ครอบคลุม ผู้เดินทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฮอสปิทัล (Hospital) ฮอสปิเทล (Hospitel) หรือโฮเทล ไอโซเลชั่น (Hotel Isolation) และกรณี HRC กรณีเกิดการระบาดมากขึ้น หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลง พิจารณาการรับผู้เดินทางแล้วปรับมาใช้ระบบพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (Sandbox)” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
และว่า กทม.เร่งเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวและพื้นที่ระบาดโดยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชน ผู้ประกอบการ พนักงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ป้องกันการระบาด และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว และประชาชนในกรุงเทพมหานคร พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมให้ในบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง เป็นประชาชนทุกคน
สปสช.คัดกรอง6.7พันผลบวก211คน
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยผลการตรวจคัดกรองโควิดด้วยชุดตรวจ ATK ที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ระหว่างวันที่ 11-21 มกราคมว่า มีประชาชนมารับการคัดกรองทั้งสิ้น 6,278 คน ผลเป็นลบ 6,067 คน หรือ 96.64% ส่วนผู้ที่ผลเป็นบวก มี 211 คน คิดเป็นสัดส่วน 3.36% โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 211 คนนี้ ได้รับการส่งตัวเข้ารักษาในระบบ Home Isolation 56 ราย เริ่มมีอาการและรักษาใน Hospitel ของโรงพยาบาลปิยะเวท 94 ราย ส่งตัวไปรักษาในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 4 จำนวน 42 ราย และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลหรือเขตสุขภาพอื่นๆอีก 19 ราย
ส่งรักษาHI-โฮสพิเทลทั้งหมด
ด้าน ศ.ดร.ฉัตรเฉลิม อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผลการตรวจคัดกรองช่วง 9 วันนี้ สามารถแบ่งออกเป็น วันที่ 11 ม.ค. คัดกรอง 638 คน เป็นผลลบ 617 คน (96.7%) และผลบวก 21 คน (3.3 %) วันที่ 12 ม.ค. คัดกรอง 813 คน เป็นผลลบ 787 คน (96.8%) และผลบวก 26 คน (3.2 %) วันที่ 13 ม.ค. คัดกรอง 653 คน เป็นผลลบ 632 คน (96.8%) และผลบวก 21 คน (3.2%) วันที่ 14 ม.ค. คัดกรอง 937 คน เป็นผลลบ 919 คน (97.3%) และผลบวก 18 คน (2.7%)
วันที่ 17 ม.ค. คัดกรอง 845 คน เป็นผลลบ 816 คน (96.6%) และผลบวก 29 คน (3.4 %) วันที่ 18 ม.ค. คัดกรอง 652 คน เป็นผลลบ 622 คน (95.4%) และผลบวก 30 คน (4.6%) วันที่ 19 ม.ค. คัดกรอง 561 คน เป็นผลลบ 540 คน (96.1%) และผลบวก 21 คน (3.9 %) วันที่ 20 ม.ค. คัดกรอง 503 คน เป็นผลลบ 476 คน (94.6%) และผลบวก 27 คน (5.4%) และวันสุดท้ายของโครงการ วันที่ 21 ม.ค. คัดกรอง 676 คน เป็นผลลบ 658 คน (97.3%) และผลบวก 18 คน (2.7%) รวมจำนวนทั้งหมด 6,278 คน มีผลเป็นบวก 211 คน หรือ 3.36% ของจำนวนผู้ที่เข้ารับการคัดกรองทั้งหมด
“ผู้ที่ผลตรวจเป็นบวก กรณีไม่มีอาการ จะได้จับคู่กับสถานพยาบาลเข้าระบบดูแลที่บ้าน หรือ Home Isolation ส่วนกลุ่มเริ่มมีอาการจะส่งต่อเข้าระบบ Hospitel ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ส่งต่อเข้าระบบรักษาทั้ง 2 แบบได้ทั้งหมด” ศ.ดร.ฉัตรเฉลิม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี