ไฟเซอร์สูตรเด็ก5-11ปีถึงไทย
ลอตแรก3แสนโดส
เริ่มฉีดกลุ่มเสี่ยง7โรค31ม.ค.
ติดโควิดขยับขึ้น7.5พัน/เสียชีวิต19
กทม.พุ่งแรง1,683ราย-ภูเก็ตขึ้นที่3
ไทยเจอพันธุ์ย่อยโอมิครอน14คน
WHOจับตาไวรัสVOCจ่อมาแทน
ยอดติดเชื้อไทยรายวันขยับขึ้นอยู่ที่ 7,587 คน ตาย 19 ศพ กทม.ยังรั้งอันดับ 1 วันเดียว 1.6 พันคน ภูเก็ตแซงขึ้นที่ 3 ฉีดวัคซีนสะสมแล้วกว่า 113 ล้านโดส
กรมวิทย์ฯแถลงสัดส่วนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 และ BA.1 สัดส่วน 1 ใน 40 เศษๆถือว่ายังไม่มาก ไทยพบ 14 รายจากหมื่นกว่าคน ตาย 1 คนจากโอมิครอน BA.2 ส่วนอาการรุนแรง-แพร่เร็วยังไม่ชัดว่าต่างจาก BA.1 หรือไม่ อย่าตระหนก ยันทุกสายพันธุ์ชุดตรวจ ATK ตรวจเจอปกติ “ดร.อนันต์”เผย WHO จับตาไวรัส VOC มาแทนโอมิครอน หนีภูมิคุ้มกันได้ดี สธ.เผยไฟเซอร์สูตรเด็ก 5-11 ปี ฝาสีส้มล็อตแรกถึงไทยแล้ว 3 แสนโดส คิกออฟฉีดวันแรก 31 มค. ย้ำเด็ก 5-11 ต้องฉีด แม้ติดเชื้อแต่อาการไม่มาก ป้องกันภาวะอักเสบของอวัยวะ ยันผลข้างเคียงน้อย
เมื่อวันที่ 26 มกราคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือศบค. รายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทรวมถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลเร่งรัดฉีดให้ประชาชนให้ครอบคลุมมากที่สุด
ติดเชื้อขยับกว่า7.5พันตาย19คน
ศบค.ระบุว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 7,587 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยใหม่ 7,587 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 58 ราย ติดเชื้อจากผู้เดินทางต่างประเทศ 156 ราย และติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขังเพิ่ม 106 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 175,509 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,398,944 ราย หายป่วยเพิ่มวันนี้ 7,801 ราย หายป่วยสะสม 127,075 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,295,569 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตมี 19 คน เสียชีวิตสะสม 378 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 22,076 คน ผู้ป่วยที่รักษาอยู่ 81,299 ราย แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 39,512 ราย โรงพยาบาลสนามและอื่นๆ 41,787 ราย อาการหนัก 519 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 97 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิต 19 รายนั้น แบ่งเป็น ชาย 6 ราย หญิง 13 ราย เป็นคนไทย 19 ราย อยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 5 ราย สมุทรปราการ 1 ราย กาฬสินธุ์ 2 ราย ศรีษะเกษ 1 ราย อุบลราชธานี 1 ราย เชียงใหม่ 3 ราย เพชรบูรณ์ 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย สงขลา 1 ราย สตูล 1 ราย ชลบุรี 1 ราย และสิงห์บุรี 1 ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค อาทิ ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคหัวใจ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อยังคงติดจากคนในครอบครัว เพื่อน คนในชุมชน อาชีพเสี่ยง การเข้าไปสถานที่แออัด ไปพื้นที่ระบาด
กทม.ป่วยพุ่ง1.6พัน-ภูเก็ตแซงขึ้นที่3
ศบค.ยังรายงาน 10 อันดับจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศรายใหม่สูงสุด อันดับ 1 คือ กทม.ติดเชื้อใหม่วันนี้ 1,683 ราย ยอดสะสม 20,693 ราย อันดับ 2 สมุทรปราการ 644 ราย ยอดสะสม 13,717 ราย อันดับ 3 ภูเก็ต 343 ราย ยอดสะสม 8,644 ราย อันดับ 4 ชลบุรี 335 ราย ยอดสะสม 15,283 ราย อันดับ 5 นนทบุรี 324 ราย ยอดสะสม 7,405 ราย อันดับ 6 ขอนแก่น 225 ราย ยอดสะสม 6,284 ราย อันดับ 7 ปทุมธานี 213 ราย ยอดสะสม 4,226 ราย อันดับ 8 ฉะเชิงเทรา 159 ราย ยอดสะสม 1,936ราย อันดับ 9 ราชบุรี 137 รายยอดสะสม 1,384 ราย อันดับ 10 สมุทรสาคร 132 ราย ยอดสะสม 2,617 ราย
ยอดฉีดวัคซีนทะลุ113ล้านโดส
ความคืบหน้าผลดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหัวหิน สนามบินภูเก็ต และสนามบินสมุย ตั้งแต่วันที่ 1- 25 มกราคมมียอดสะสม 5,767 คน แยกเป็น กลุ่ม Test&Go 2,611 ราย แซนด์บ็อกซ์ 2,533 ราย อยู่ระหว่างกักตัว (Quarantine) 623 ราย
ยอดสะสมผู้ได้รับวัคซีนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 -25 มกราคมมีจำนวน 113,181,596 โดส แบ่งเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 52,130,059 ราย, ผู้ที่ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 จำนวน 48,281,036 ราย, ผู้ที่ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม 12,770,501 ราย
ไทยพบโอมิครอนBA.2แล้ว14ราย
ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวการเฝ้าระวังโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.2 ว่า การเฝ้าระวังสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ส่งข้อมูลไปยังระบบจีเสส (GISAID)มี 6 ราย ส่งข้อมูลตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม ล่าสุดกรมฯ ส่งไปเพิ่มอีก 8 ราย รวมเป็น 14 ราย ซึ่ง 8 รายหลังจะขึ้นปรากฎให้เห็นอีก 1-2 วัน แต่ศูนย์จีโนมรามาฯยังไม่ได้ปรากฎ ยืนยันว่า เราเห็น BA.2 ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์แล้ว เราเห็นตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม และวิเคราะห์ข้อมูลจนแน่ใจจึงส่งเข้าไปในGISAID
ติดโอมิครอนอัตราตายต่ำ
นพ.ศุภกิจกล่าวต่อว่า สำหรับ 3 คำถามเวลามีพันธุ์ใหม่คือ แพร่เร็ว รุนแรงหรือหลบภูมิคุ้มกันหรือไม่ อย่างไร ข้อมูลปัจจุบันของ BA.2 ยังมีข้อมูลน้อยเกินไปที่จะสรุปว่า แพร่เร็วหรือไม่ เพราะยังมีน้อย หากสัดส่วนเปลี่ยน จากเดิม 2% ขึ้นเป็น 5-10% ในเวลาถัดมาต้องจับตา เพราะอาจแพร่เร็วกว่า ส่วนอาการหนักจากดูข้อมูล 14 ราย พบว่าเดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย ติดเชื้อในประเทศ 5 ราย โดยติดเชื้อในประเทศมี 1 รายเสียชีวิต เป็นคุณป้าติดเตียงที่เสียชีวิตจากโอมิครอน 2 รายแรกก่อนหน้านี้ รายนี้อยู่ภาคใต้ อายุมากแล้วและมีโรคประจำตัว แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า BA.2 รุนแรงกว่า BA.1 หรือไม่ แต่ภาพรวมเราส่งข้อมูลกว่า 7 พันเรดคอร์ด ให้กรมการแพทย์ไปติดตามดู เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 7 รายจากโอมิครอนจาก 7 พัน หรือคิดเป็น 0.1% ซึ่งอัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ แต่รายละเอียดอาการหนักแค่ไหนอย่างไร จริงๆไม่มาก แต่กรมการแพทย์กำลังทำรายละเอียด รวมถึงปัจจัยฉีดวัคซีน รายละเอียดต้องรอกรมการแพทย์
เดลตาพันธุ์ย่อยมีแต่ถูกโอมิครอนกลืน
ทั้งนี้ การตรวจรหัสพันธุกรรมทุกสัปดาห์ ที่น่าสนใจ กรณีเดลตาที่มีพันธุ์ย่อย ที่เรียกว่าเดลตาพลัส ซึ่งมี AY ต่างๆมีประมาณ 127 ตัว เคยเจอเดลตาพลัสที่พบ K417N ทำให้หลบวัคซีนได้มากขึ้น แต่จำนวนที่ตรวจพบไม่มาก ไม่ได้เพิ่มจำนวน ซึ่งไม่น่าห่วง ส่วนAY 4.2 ที่กลายพันธุ์บางตำแหน่งก็ไม่ได้ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ แต่เมื่อปรากฎให้เห็นเราก็เก็บข้อมูล ทั้งนี้ ที่พบมากที่สุดของเดลตาคือ AY 85 ค่อนข้างมากในภูมิภาคนี้ โดยบ้านเราพบ 49% AY 85 ตัวของมันเองไม่ค่อยมีอะไร แต่บางส่วนบวกด้วยตำแหน่งที่หลบวัคซีน แต่เราเจอไม่มาก ท้ายที่สุดหากเดลตาถูกแทนด้วยโอมิครอน ตัวที่กลายพันธุ์ก็ไม่มีความหมาย เพราะคนติดเชื้อติดด้วยโอมิครอนหมดแล้ว จึงต้องมาติดตามโอมิครอนต่อไปแทน เราก็มีระบบตรวจจับเช่นกัน จึงอยากให้ทราบว่า เรามีกระบวนการตรวจจับการกลายพันธุ์ได้เร็วพอ
กลุ่มเสี่ยงเร่งบูสเตอร์ด่วนที่สุด
“ขณะนี้ไทยก็เหมือนหลายประเทศ เดือนกุมภาพันธ์จะเป็นโอมิครอนส่วนใหญ่ ป่วยง่าย แพร่เชื้อเร็ว แต่อาการรุนแรง เสียชีวิตยังน้อย ย้ำว่า ต้องบูสเตอร์ด้วยวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง ต้องรีบมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”นพ.ศุภกิจกล่าวย้ำ
BA.2ยังไม่มากเจอ14จากหมื่นราย
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีสายพันธุ์ย่อย BA.2 ทั่วโลกมีมากน้อยแค่ไหน และจะมีผลต่อการกลายพันธุ์หรือไม่ นพ.ศุภกิจกล่าวว่า จากข้อมูลในจีเสสรายงานว่า BA.2 มีประมาณ 2.1 หมื่น และ BA.1 จำนวน 4.2 แสน หรือประมาณ 1ใน 40 เศษๆ แต่จะใช้สัดส่วนนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เพราะโอมิครอนมีหลายสิบล้านทั่วโลก หากเปิดเจอแบบนี้ก็ถือว่า BA.2 ยังไม่มาก แต่บางประเทศอย่างเดนมาร์ก เขารู้สึกว่า BA.2 สัดส่วนสูงขึ้น ก็ต้องจับตาดู แต่ของเราเจอ 14 รายจากหมื่นกว่าราย เราต้องติดตามต่อไป จึงยังไม่ต้องวิตกกังวล คงไม่ได้เหนือกว่า BA.1 อย่างเห็นได้ชัด ส่วนการกลายพันธุ์อื่น ทั่วโลกต่างช่วยกันเฝ้าระวังว่า จะมีตัวย่อยกว่านี้หรือไม่
ห่วงลอบเข้าเมือง-พันธุ์ย่อยATKตรวจได้
ถามถึงกรณีเฝ้าระวังเขตชายแดน โดยเฉพาะเมียนมา เนื่องจากยังมีการระบาดจากอินเดีย โดยคณบดีศิริราชระบุว่าต้องระวัง นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า เราเฝ้าระวังอยู่ แต่ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะการลักลอบข้ามแดนโดยไม่ผ่านอะไรน่ากลัว อย่างที่เคยบอกว่า เราไม่ค่อยห่วงพวกที่มาถูกต้อง แต่ที่ลักลอบต้องเฝ้าระวัง และต้องขอความร่วมมือ โดยเฉพาะผู้นำเข้าแรงงาน ยิ่งคนนำเข้าแรงงานเถื่อนต้องระวังมากๆ ขอย้ำว่า สายพันธุ์ย่อยนี้ ยังตรวจด้วย ATK ได้เช่นเดิม
WHOจับตาไวรัสVOCแทนโอมิครอน
ด้านดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โพสต์เฟซบุ๊กถึงข้อมูลสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด -19 ทั่วโลกขณะนี้ว่า จากข้อมูลดูเหมือนองค์การอนามัยโลก (WHO) มองไวรัสโควิดปี 2022 ไม่น่าหยุดที่ โอมิครอน น่าสนใจที่ว่า WHO คิดว่าไวรัสจะเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก และไวรัส VOC ที่จะมาแทนโอมิครอนจะปรับตัวให้เข้ากับโฮสต์ได้ดีขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นไวรัสที่รุนแรงน้อยลงกว่าเดิม ที่สำคัญคือ ไวรัสตัวนั้นมีแนวโน้มหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น WHO เชื่อว่า แรงผลักสำคัญที่ทำให้ไวรัสปรับตัวไปในรูปแบบนั้น เพราะภูมิคุ้มกันในหมู่ประชากรมนุษย์ที่มากขึ้นจากวัคซีน และการติดเชื้อจากธรรมชาติ ไวรัสจำเป็นต้องอยู่รอดด้วยการปรับตัวหนีภูมิเหล่านั้น อีกทั้ง WHO คาดการณ์ว่าวัคซีนคงต้องปรับแน่นอน เพื่อให้เข้ากับไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไป จนถึงจุดที่วัคซีนปัจจุบันมีประสิทธิภาพน้อยลงมากเกินไป
ไฟเซอร์เด็กถึงไทย-คิกออฟฉีด31มค.
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีน covid19 กลุ่มเด็กอายุ 5 - 11 ปีว่า วันเดียวกันนี้ วัคซีนไฟเซอร์สูตรเด็ก (ฝาสีส้ม)ถึงไทยแล้ว โดยการฉีดวัคซีนกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้ฉีดได้และตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข วัคซีนที่นำเข้ามาครั้งนี้ เป็นสูตรสำหรับเด็กโดยเฉพาะมีฝาสีส้ม อย.ขึ้นทะเบียนแล้ว ขณะนี้วัคซีนล็อตแรก 300,000 โดส ส่งมาถึงประเทศไทยแล้ว ที่เหลือ จะทยอยส่งเข้ามาโดยไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) จะส่งมาทั้งหมด 3.5 ล้านโดส จากยอดทั้งหมด 10 ล้านโดสที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณจัดซื้อแล้ว ต่อไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจคุณภาพ จากนั้นจะส่งกระจายให้ทั่วประเทศ จะเริ่มฉีดวันแรกวันที่31ม.ค.โดยสูตรสำหรับเด็กนั้น จะต่างจากของผู้ใหญ่อย่างชัดเจน ขวดหนึ่งจะฉีดได้ประมาณ10 คน ขนาดการฉีดจะฉีด 0.2 ซีซี หรือขนาดวัคซีน10ไมโครกรัมต่อโดส
เริ่มเด็กกลุ่มเสี่ยง7โรค-แบ่งฉีดที่รพ./รร.
ทั้งนี้ การฉีดแบ่งเป็น1. ฉีดที่โรงพยาบาล และ2. ฉีดที่โรงเรียน โดยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้ให้คำแนะนำว่า เด็กที่เสี่ยงติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรงคือ เด็กมีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ดังนี้ 1.เด็กที่มีโรคอ้วน 2.เด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง 3.เด็กที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง 4.โรคไตวายเรื้อรัง 5.โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ 6.โรเบาหวาน และ7.โรคทางพันธุกรรม ทั้งกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม ภาวะบกพร่องทางประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า โดยเด็กกลุ่มนี้จะมีกุมารแพทย์เป็นผู้พิจารณาดำเนินการฉีดวัคซีน ส่วนเด็กอื่นๆ นอกเหนือดังกล่าวใช้การฉีดโรงพยาบาลเป็นเด็กเช่นกัน ซึ่งจะมีกุมารแพทย์เป็นผู้พิจารณาการฉีดวัคซีน กำหนดการจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้งห่างกัน 3 -12 สัปดาห์ ส่วนการฉีดที่โรงเรียนเป็นฐานกำหนดห่างกัน 8 สัปดาห์ ส่วนการฉีดที่โรงพยาบาลกำหนดระยะห่าง 3-12 สัปดาห์ เพื่อให้กุมารแพทย์เป็นผู้ตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการฉีดวัคซีนในเด็ก เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก ขณะที่อาการข้างเคียงที่พบได้คือ ไข้ หนาวสั่น ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด เมื่อเทียบกับฉีดในเด็กโต จากข้อมูลสหรัฐฯหรือสิงคโปร์ เกิดผลข้างเคียงในเด็กเล็กค่อนข้างน้อยเพราะปริมาณที่ฉีดมีปริมาณน้อยกว่า ดังนั้นผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องกังวลใจมากนัก
ชี้เด็กต้องฉีดป้องกันภาวะอวัยวะอักเสบ
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่หเลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าวการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรเด็กว่า เด็กป่วยโควิดจะมีอาการไม่มาก ทั้งนี้ แม้อาการเด็กไม่มาก แต่ต้องฉีดวัคซีนโควิด เพราะมีปัญหาแทรกซ้อน เวลาเป็นโควิดไม่มีอาการแล้ว ประมาณ 1 เดือนให้หลังอาจมีอาการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่า มิสซี (MIS-C) ซึ่งอาจรุนแรงได้ ดังนั้น ไม่เป็นดีกว่า ฉีดวัคซีนจะดีกว่า
ไม่อนุมัติฉีดซิโนแวค-ซิโนฟาร์มในเด็ก
“หลายคนกลัวการฉีดวัคซีนชนิด mRNA ไม่ต้องกังวล เพราะในอเมริกาฉีดเด็กไปเกือบ 9 ล้านคนแล้วไม่มีปัญหา นอกจากแขนบวมนิดหน่อย ไม่เกิน 2 วันหายหมด ส่วนเรื่องหัวใจที่สหรัฐ ฉีดไป 8-9 ล้านคน พบ 11 คนแต่ไม่รุนแรงและหายได้เอง ส่วนระยะห่างการฉีดนั้น เราแนะนำของไทย อย่างที่โรงเรียนฉีดห่าง 8 สัปดาห์ ส่วนรพ. เป็น 3-12 สัปดาห์สำหรับเด็กมีโรคเรื้อรัง” ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว และว่า ข้อมูลเรื่องซิโนแวค ซิโนฟาร์มนั้น มีผู้ปกครองถามมาต้องรอข้อมูลก่อน เพราะขณะนี้ อย.ยังไม่ให้การรับรอง ต้องรอข้อมูลที่ปลอดภัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี