ย้อนไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ไม่มีใครคาดคิดว่า เมียนมา(หรือพม่า) ประเทศที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย จะต้องกลับไปอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารอีกครั้งหลังกองทัพตัดสินใจยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน อย่างไรก็ตามแม้จะผ่านมาแล้ว 1 ปี แต่รัฐบาลทหารก็ไม่สามารถปกครองได้เพราะเผชิญการต่อต้านทั้งจากชาวเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างหนักหน่วง แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“การเลือกตั้งในปี 2010 (2553) ภายใต้การนำของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่ง การเลือกตั้งปี 2015 (2558) ภายใต้การนำของพรรค NLD เราจะเห็นสีแดงคืบคลานไปทางสีเขียว และสุดท้ายการเลือกตั้งในปี 2020 (2563) ซึ่งถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ เราจะเห็นได้ว่าสีแดงกินเกือบทั้งหมด แล้วสีเขียวซึ่งเป็นพรรค USDP ของกองทัพเหลืออยู่หย่อมหนึ่ง อันนี้เป็นเหตุผลหลักๆ ว่าทำไมถึงมีการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว อันนี้คือสิ่งที่เราเห็น
ดังนั้นถ้าเราดูแบบนี้จะหมายถึงอะไร ดูแบบนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่าตั้งแต่ปี 2010-2021 (2553-2564) แล้วปีนี้ 2022 (2565) ซึ่งครบ 1 ปีแล้ว สิ่งที่กองทัพรับไม่ได้อย่างมากก็คือมันเปลี่ยนอย่างมาก มันเปลี่ยนภูมิศาสตร์การเมืองแล้วก็เศรษฐกิจของพม่า สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าพอเปลี่ยนจากนี้แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าคุณยังเล่นอยู่ในเกมการเลือกตั้ง เผลอๆ สีเขียวที่เหลืออยู่น้อยนิดอาจจะหายไปเลย”
รศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในเวทีเสวนา “1 ปีหลังรัฐประหารพม่า” ณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้พรรค NLD จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยในเมียนมา หรือแม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จะไม่ชอบพรรค NLD เพียงใด แต่หากเทียบกับฝ่ายกองทัพ พรรค NLD ก็ยังดูดีกว่าในสายตาทั้งชาวเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้เพื่อต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยชาวเมียนมาได้รับการฝึกฝนยุทธวิธีทางการทหารจากกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ เหตุการณ์สำคัญคือ 6 เดือนหลังรัฐประหาร ชาวเมียนมาฝ่ายต่อต้านได้จัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองของประชาชน (People Defense Force-PDF) จับอาวุธสู้กับฝ่ายกองทัพ และนั่นทำให้สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้น โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตราว 7,000 ราย ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับการต่อสู้ที่ยังไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม กองทัพเมียนมานั้นค่อนข้างชำนาญในการทำให้กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สู้รบกันเองเพื่อแย่งชิงเขตอิทธิพล หรืออย่างน้อยที่สุดคือมีท่าทีไม่ต่อต้านกองทัพเมียนมา ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ผลพวงของเหตุความรุนแรงในเมียนมา จะทำให้มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (InternallyDisplaced People-IDP) หมายถึงผู้ถูกกดันให้ต้องอพยพออกจากที่อยู่เดิมไปอาศัยในที่อยู่ใหม่ (แต่ยังเป็นภายในประเทศของตนเอง) มากถึง 5 หมื่นคน
รศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ในช่วงก่อนรัฐประหาร 2564 เศรษฐกิจเมียนมามีการลงทุนค่อนข้างสูง โดยประเทศหรือดินแดนที่ไปลงทุนในเมียนมามากที่สุด 4 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และไทยตามลำดับ แต่เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นมีเพียงจีนเท่านั้นที่การลงทุนเพิ่มขึ้นในขณะที่ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกงและไทยลดการลงทุนลง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน เนื่องจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารแห่ไปถอนเงินจากธนาคารบ้าง ทำลายเสาสัญญาณโทรคมนาคมบ้าง อย่างไรก็ตาม การค้าและการเงินผ่านทางออนไลน์ยังปรากฏตามพื้นที่ชายแดน
“เรากำลังเกิดสถานการณ์ที่คนพม่าประกาศออกมา แม้จะยังไม่เห็นชัยชนะเลยแล้วก็ถูกปราบทุกวัน ก็คือมีข้อเรียกร้องกับนานาชาติ อันนี้คือสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จที่สุด คือขอให้เปลี่ยนวิธีคิดจากเรื่องความมั่นคงไปเป็นเรื่องประชาธิปไตย ขอให้เปลี่ยนวิธีคิดจากเรื่องเศรษฐกิจไปเป็นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำแล้วในแง่นี้มันถึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาซึ่งจะสามารถเป็นไปได้ ในแง่การเมือง เศรษฐกิจและการพัฒนา
ถ้าจะให้สรุป คิดว่าความคาดหวังของเขาค่อนข้างยากพูดอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่เราอาจจะเห็น อาจจะเกิดสถานการณ์ที่ว่าเราจะเห็นจำนวนผู้หนีภัยสงครามเพิ่มขึ้นหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเตรียม อาเซียนหรือนานาชาติจะมีข้อเสนออย่างไร แล้วรูปที่เราเห็นในแต่ละวันที่มีสถานการณ์สู้รบจะยังเห็นอยู่ไหม คิดว่าอาจจะยังเห็นอยู่ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในประเทศก็คือเขายืนยันว่าเขาจะไม่ยอมแพ้” รศ.ดร.นฤมล กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงวิธีคิดของ “ตัดมาดอว์ (Tatmadaw)” หรือกองทัพเมียนมา นั่นคือ กองทัพเมียนมาเชื่อว่าต้องรักษาหลัก 3 ส่วน 1.สหภาพต้องไม่ล่มสลาย 2.เอกภาพของคนในชาติต้องไม่ถูกทำลาย และ 3.อธิปไตยของชาติต้องมั่นคง และพร้อมจัดการกับอะไรก็ตามที่อาจส่งผลต่อ 3 ส่วนนี้
แต่การที่กองทัพเมียนมาไม่สามารถแยกแยะระหว่างความมั่นคงของรัฐ ของกองทัพ และของระบอบการเมือง ทำให้เมื่อรู้สึกว่ากองทัพถูกสั่นคลอน ย่อมหมายถึงระเบียบของรัฐและอธิปไตยของชาติถูกสั่นคลอนไปด้วย โดยกองทัพเมียนมาให้ความสำคัญกับ 3 องค์ประกอบ คือ 1.ชาวพม่า 2.กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ และ 3.การแทรกแซงจากต่างชาติ ซึ่งจะต้องไม่ให้ทั้ง 3 มาบรรจบกัน เช่น การประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารในปี 2531 รัฐบาลทหารในขณะนั้นอ้างถึงท่าทีของมหาอำนาจตะวันตก รวมถึงมีผู้ประท้วงหนีการปราบปรามไปร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์
รัฐบาลทหารเมียนมาในปัจจุบันยังมีความพยายามจัดตั้งมวลชนชาวพม่าเป็นกองกำลังกึ่งทหารเพื่อช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ซึ่งเดิมเป็นหนึ่งในแผนรับมือหากถูกโจมตีโดยกองทัพของต่างชาติหรือมีการก่อกบฏของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแม้แต่ชาวพม่าก็เลือกอยู่ตรงข้ามกับกองทัพ โดยมีการต่อต้านที่หลากหลาย ทั้งสันติวิธีและจับอาวุธขึ้นสู้
ผศ.ดร.ดุลยภาค แบ่งอนาคตของเมียนมาหลังจากนี้ไว้ “กรณีรัฐบาลทหารชนะ” อนาคตแบบนี้จะมี 2 ทาง คือ 1.กองทัพควบคุมสถานการณ์ได้แต่ไม่เบ็ดเสร็จ แต่ฝ่ายต่อต้านก็ไม่สามารถก่อการให้เกิดผลสะเทือนขนาดใหญ่ได้ ซึ่งจะเหมือนเมียนมาในยุคหลายสิบปีก่อนที่แม้จะมีกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์แต่ไม่สามารถล้มรัฐบาลทหารได้ กับ 2.มีการเลือกตั้ง แต่ต้องให้อยู่ในรูปแบบที่ฝ่ายกองทัพได้เปรียบ เช่น ระบบจัดสรรปันส่วนคะแนนเสียง แต่ “กรณีฝ่ายต่อต้านเผด็จการทหารชนะ” สิ่งที่จะได้เห็นคือ “การปกครองแบบสหพันธรัฐ” ซึ่งเป็นประเด็นที่กลุ่มชาติพันธุ์เรียกร้อง
“แต่คำถามคือถ้าฝ่ายนี้ชนะ เรารับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่มีการแตกคอในเชิงแนวคิดหรือกลุ่มอำนาจระหว่างคนพม่าแท้กับกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีหลายเฉดสีทางการเมือง” ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี