ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา (หรือพม่า) ซึ่งต้องบอกว่านับตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2564 ที่กองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน จนถึงปัจจุบัน การต่อต้านของประชาชนชาวเมียนมายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งด้วยสันติวิธี เช่น การแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร การปิดร้านค้าและหยุดงาน และด้วยกำลังอาวุธ ที่ฝ่ายต่อต้านส่วนหนึ่งได้รับการฝึกยุทธวิธีทางการทหารจากกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ ขณะที่ฝ่ายกองทัพก็ตอบโต้อย่างรุนแรง โถมกำลังเข้าโจมตีกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงจับกุมคุมขังผู้ที่ออกมาชุมนุมประท้วง
สถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าวที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี ยังส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งเดิมทีแม้การในช่วงปกติ แต่ละวันก็จะมีความพยายามจากชาวเมียนมาลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามาหางานทำอยู่แล้วเนื่องจากค่าจ้างในไทยนั้นสูงกว่า ยิ่งในช่วงวิกฤตที่ธุรกิจต่างๆ หยุดชะงัก ปัญหาความยากจนในเมียนมารุนแรงขึ้นก็ยิ่งเป็นแรงกดดันให้เกิดการลอบข้ามพรมแดนมากขึ้นด้วย ยังไม่ต้องนับถึงผู้ลี้ภัยที่หนีความรุนแรงจากการสู้รบ ที่รัฐไทยต้องแบกรับภาระดูแลตามหลักมนุษยธรรม
ที่งานเสวนา “1 ปีหลังรัฐประหารพม่า” ณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ช่วงต้นเดือนก.พ. 2565 ที่ผ่านมา สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการอาวุโส นสพ.เดอะเนชั่น ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมาและอาเซียน กล่าวว่า ในการยึดอำนาจครั้งล่าสุด กองทัพหรือที่เรียกกันในภาษาพม่าว่า “ตัดมาดอว์ (Tatmadaw)” ประสบความล้มเหลวเพราะยังถูกต่อต้านแม้จะผ่านมาถึง 1 ปีแล้วก็ตาม อีกทั้งการต่อต้านยังลุกลามไปทั่วประเทศบางจุดกองทัพก็ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
เช่นเดียวกัน ในเวทีโลกแม้จะมีบางชาติแสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายกองทัพ แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดที่ยอมรับรัฐบาลของกองทัพอย่างเป็นทางการ และผู้แทนรัฐบาลทหารก็ไม่มีที่นั่งในเวทีองค์การสหประชาชาติ (UN) ขณะที่อีกด้านหนึ่งยังมีคำถามถึงฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเช่น กองกำลังป้องกันตนเองของประชาชน (PDF) ที่หากวิเคราะห์ตามตำราสงครามจรยุทธ์ (สงครามกองโจร) ถือว่ายังอยู่ในขั้นก่อตัว แล้วจะมียุทธศาสตร์ (Strategy) อย่างไร รวมถึงรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมมีสายการบังคับบัญชา PDF อย่างไร
หรือแม้แต่ PDF นั้นที่ก่อตัวขึ้นได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์ก็ไม่ได้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อสู้กับฝ่ายกองทัพ ตรงกันข้ามบางกลุ่มยังฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่พยายามแผ่ขยายเขตอิทธิพลของกลุ่มตนเอง จนเกิดปะทะกับกองกำลังของกลุ่มอื่น หรือบางกลุ่มก็รอดูท่าที หากการสู้รบไม่มาถึงพื้นที่ของตนก็จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ
“สถานการณ์ทางการทหาร ผมคิดว่าฝ่ายประชาชน ฝ่ายกลุ่มชาติพันธุ์ แม้รวมเป็นเอกภาพได้ก็คงเอาชนะตัดมาดอว์ไม่ได้ เมื่อเอาชนะไม่ได้ทางการทหารก็ต้องหันมาหาวิธีทางการทูต ซึ่งการทูตที่ใกล้ที่สุดก็คืออาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน เราอาจจะหวังกับ UN ได้บ้าง หวังกับสหรัฐฯ-ยุโรปได้บ้าง แต่ผลประโยชน์มันต่างกันเยอะ ฉะนั้นที่ใกล้ที่สุดและเป็นจริงที่สุด ก็จึงเป็นคำตอบคืออาเซียนไม่เพียงแต่ว่าพม่าเป็นสมาชิกอาเซียนเท่านั้น เหตุการณ์ในพม่าทุกชนิดกระทบอาเซียน เพราะฉะนั้นอาเซียนจึงอยู่เฉยไม่ได้” สุภลักษณ์ กล่าว
ด้าน ถวิล เปลี่ยนศรี ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาและติดตามสถานการณ์ระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย ในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงท่าทีของประชาคมโลกต่อสถานการณ์เมียนมา ซึ่งมีทั้ง “ไม้แข็ง” เช่น UN ไม่ยอมรับผู้แทนจากรัฐบาลทหาร แต่ให้ทูตเมียนมาประจำ UN ที่ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลชุดก่อนทำหน้าที่ต่อไป เช่นเดียวกับชาติตะวันตก นำโดย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (EU) ที่ใช้มาตรการคว่ำบาตร
และ “ไม้นวม” โดย อาเซียน เปิดช่องให้รัฐบาลทหารเมียนมาเจรจาหาทางออก ซึ่งนานาชาติคาดหวังมากว่าอาเซียนจะมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารเมียนมาและทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ซึ่งช่วงแรกๆ ดูเหมือนจะได้ผลดี เพราะอาเซียนมีการออกฉันทามติ 5 ข้อ แต่ต่อมากลับพบว่าสถานการณ์จริงไม่ได้เป็นไปตามฉันทามตินั้น การปราบปรามอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และการจับกุมคุมขังยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่อาเซียนเองก็เริ่มมีความเห็นที่แตกต่าง ระหว่างฝ่ายที่มีท่าทีแข็งกร้าวเพราะเมียนมาไม่ปฏิบัติตามฉันทามติ กับฝ่ายที่เห็นว่าควรให้โอกาสเมียนมา
อดีตเลขาฯ สมช. กล่าวต่อไปว่า “ทุกครั้งที่มีสถานการณ์สู้รบในเมียนมาประเทศที่พรมแดนติดกันอย่างไทยย่อมได้รับผลกระทบ” เช่น ปัจจุบันยังมีผู้ลี้ภัยตกค้างอยู่ในศูนย์พักพิง 9 แห่งใน 4 จังหวัด ประมาณ 8 หมื่นคน บางคนก็เป็นประชากรที่เกิดและเติบโตในศูนย์ฯ ไม่ได้มาจากเมียนมา รวมกับผู้ลี้ภัยที่เข้ามาใหม่จากสถานการณ์ครั้งล่าสุด ขณะเดียวกัน ปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองเพื่อหางานทำยังพ่วงมาด้วยปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19
“ในทางแก้ไขปัญหา 1.พม่าที่เป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างที่ SAC (สภาที่แต่งตั้งโดยทหาร) ที่กองทัพต้องการ ก็คงไม่เป็นที่ปรารถนาของไทย 2.ในทางที่จะประนีประนอม ดึงพม่าเข้ามาปฏิบัติตามฉันทามติของอาเซียนทั้ง 5 ข้อให้เป็นมรรคเป็นผล ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องไม้แข็ง น่าจะทำให้สถานการณ์มันรุนแรงเพิ่มขึ้น แล้วก็สร้างอันตราย สร้างผลกระทบที่
มากขึ้น” ถวิล กล่าว
ขณะที่ เกียรติ สิทธีอมร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การรัฐประหารครั้งล่าสุดในเมียนมา วันที่ 1 ก.พ. 2564 ทำให้เห็นถึงนวัตกรรมอย่างหนึ่ง คือการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้กองทัพสามารถยึดอำนาจรัฐบาลได้ แต่ก็เป็นนวัตกรรมที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไร โดยคิดว่าน่าจะมาจากความพยายามเกลี่ยฐานอำนาจ หาความพอดีเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง เรื่องนี้ไม่ตำหนิใครแต่นั่นก็กลายเป็นจุดที่สร้างปัญหาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ไม่ใช่นวัตกรรมแต่เป็นบรรทัดฐานที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับประชาคมโลก คือเหตุผลในการยึดอำนาจ นั่นคือการแพ้การเลือกตั้ง หากเป็นภาษาวัยรุ่นคงใช้คำว่าข้าพเจ้าไม่ไหวแล้ว ยึดอำนาจเลยดีกว่า ซึ่งบรรทัดฐานแบบนี้น่ากลัวมาก และไม่ใช่เรื่องที่เกิดในเมียนมาเพียงประเทศเดียว แต่เริ่มเห็นว่าหลายประเทศมีแนวโน้มจะไปในทางนั้น
“ความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยในหลายพื้นที่หลายประเทศมาก ในแอฟริกาก็ยังมีอยู่ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นบรรทัดฐานซึ่งประชาคมโลกเองต้องให้ความสำคัญมากกว่าที่เราเห็นอยู่ และต้องไม่ใช่ยอมรับกันง่ายๆ เพราะ โห! มันไกลเหลือเกิน ใกล้อาเซียนอาเซียนไปดูแล้วกัน โห! ติดไทยเลยไทยต้องเป็นพี่เลี้ยง ผมว่าถ้าคิดอย่างนั้นเจ๊ง! ทั้งโลกนี้ประชาธิปไตยมันเดินไม่ได้ แล้วความคิดของกลุ่มคนที่อยากจะสุดท้ายแสวงหาอำนาจ ใช้กำลัง! ไปไม่ได้หรอก ผมว่าอันนี้ประเด็นที่หนึ่งเลย เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ประชาคมโลกไม่ควรยอมรับ” เกียรติ ระบุ
รอง ปธ.กมธ.การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ฝาก 3 ประเด็นสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์เดินหน้าต่อไปได้ 1.ปัญหาผู้ลี้ภัยต้องไม่ให้ทั้งโลกคิดว่าเป็นปัญหาของประเทศไทย ผู้ลี้ภัยเป็นปัญหาของประชาคมโลกที่ทุกคนต้องมีส่วน หากไม่ส่งคน-ส่งของมาก็ขอให้ส่งเงินมาช่วย แต่ไม่ใช่ให้ไทยรับไปเต็มๆ 2.การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้ความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใดต้องหยุดซึ่งประชาคมโลกต้องช่วยกดดันให้มากกว่าที่เป็นอยู่
และต้องสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อ จากที่ประชุมอาเซียน เพราะจนทุกวันนี้ทูตพิเศษของอาเซียนก็ยังไม่สามารถเดินทางเข้าไปในเมียนมาได้ และ 3.ท่าทีต่อ NUG หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ที่ระยะหลังๆ ดูเหมือนได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่เรื่องนี้ประชาคมโลกต้องชัดเจน หากรับก็ต้องรับทั้งหมด รวมถึงต้องหาทางพูดคุยกับ 2 ชาติมหาอำนาจ “จีน-รัสเซีย” เพื่อให้สนับสนุนโรดแมปการไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาให้เร็วที่สุดด้วย
“วันนี้เขาเดินอย่างนี้ได้ รัฐบาลทหารเดินทางอย่างนี้ได้เพราะจีนกับรัสเซียนั่งอยู่นิ่งๆ ดูผลประโยชน์ตัวเอง
แต่ผลประโยชน์ตัวเองมันกระทบผลประโยชน์ของโลก รัสเซียกับจีนเองต้องตัดสินใจว่าตัวเองอยากจะเล่นบทอะไรในเวทีระดับนี้ อาจจะยังไม่คุ้นไม่เป็นไร ยังทัน ยังเปลี่ยนได้ ยังขยับได้แต่ถ้าไม่มีจีนเห็นด้วยว่ารัฐบาลทหารมันเดินไปไม่ได้ แล้วต้องรีบจัดการเลือกตั้งให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด อันนี้เดินต่อไม่ได้” เกียรติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี