“สาหร่ายเตา” เป็นผลผลิตพลอยได้จากการบำบัดคุณภาพน้ำในการเลี้ยงปลานิล ซึ่งเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน 18.63% ไขมัน 5.21% คาร์โบไฮเดรต 56.31% เส้นใย 7.66% เถ้า 11.78% แร่ธาตุและวิตามิน นอกจากนี้ยังพบกลุ่มสารประกอบฟีโนลิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง จึงมีการศึกษาการประยุกต์ใช้สาหร่ายเตา เพื่อเป็นแหล่งอาหารปลานิล และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสาหร่ายเตาต่อการพัฒนาเป็นแหล่งอาหารและส่วนผสมของอาหารเลี้ยงปลา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงปลาชนิดอื่นๆ ในอนาคต
คณาธิป คำเพราะ อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร และเทคโนโลยี คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก กล่าวว่า สาหร่ายนับเป็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำมาผสมในอาหารปลา เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยมีลักษณะเป็นเส้นสาย มีสีเขียวอ่อน ถึงสีเขียวเข้ม พบในบริเวณแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป
“ชาวบ้านในแถบพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมนำมารับประทานเป็นอาหาร เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จึงเห็นว่าการนำสาหร่ายเตาซึ่งมีในท้องถิ่น และหาได้ง่าย นำมาเพาะเลี้ยงร่วมกับการเลี้ยงปลาน้ำจืด เพื่อช่วยบำบัดของเสียในรูปสารประกอบอนินทรีย์ไนโตรเจน และฟอสฟอรัสภายในบ่อเลี้ยงปลา สามารถเป็นแนวทางหนึ่งในการควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงให้เหมาะสมต่อการเลี้ยงและยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี” คณาธิป กล่าว
ส่วนสาเหตุที่เลือกปลานิล มาทำการวิจัยในครั้งนี้ คณาธิป ระบุว่า เพราะปลานิลเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงปลานิลในปี 2560 มีปริมาณกว่า 185,902 ตัน เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเพาะเลี้ยงปลานิลยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก แต่ปัญหาสำคัญ คือวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น จึงมีการศึกษา เพื่อนำพืชที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน
สำหรับขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบนำสาหร่ายเตามาล้างทำความสะอาด จากนั้นอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ประมาณ 24 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะได้ความชื้น 10%นำตัวอย่างไปบด ร่อนผ่านตะแกรง และวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ปริมาณโปรตีน ปริมาณไขมัน ปริมาณความชื้น ปริมาณเถ้า ปริมาณเยื่อใย ปริมาณคาร์โบไฮเดรต ตามมาตรฐาน AOAC
โดยนำตัวอย่างสาหร่ายเตาอบแห้งสกัดด้วยใช้ตัวทำละลาย 7 ชนิด ได้แก่ เอทานอลเมทานอล อะซิโตน เฮกเซน และน้ำกลั่น เพื่อศึกษาปริมารสารอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ โดยเลือกตัวทำละลายเฉพาะ ที่สามารถสกัดสารต้านอนุมูลอิสระได้มากที่สุด จากนั้นเมื่อสกัดออกมาจะเป็นน้ำ ก็นำมาผสมกับอาหารปลา และอัดเม็ดขึ้นมา
ผลการศึกษา พบว่า การเสริมสารสกัดจากสาหร่ายเตาในอาหารสำหรับเลี้ยงปลานิลเป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดตายของปลานิล โดยเฉพาะในปลานิลชุดการทดลองที่ได้รับอาหารเสริมสารสกัดสาหร่าย 15% มีน้ำหนักตัวและความยาวที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน และอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชุดการทดลองอื่นๆ ส่วนในด้านของการสะสมสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่า ชุดการทดลองที่อาหารได้เสริมสารสกัดสาหร่ายเตา 15%มีสารต้านอนุมูลอิสระสะสมในปลามากที่สุด
“ผลการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า สาหร่ายเตามีประสิทธิภาพในการใช้เป็นอาหารเสริมในปลา ช่วยส่งเสริมอัตราการเจริญเติบโต อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ
และเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงปลาได้โดยควรเสริมสารสกัดสาหร่ายเตา 15%ในอาหารปลาวัยอ่อนหรือช่วงอนุบาลลูกปลาเพื่อไปเพิ่มอัตราการรอดตาย และช่วยในการเจริญเติบโต” คณาธิป ระบุ
ผลการศึกษายังพบด้วยว่า สาหร่ายเตาสามารถกำจัดไนโตรเจนกับฟอสฟอรัสในระบบการเลี้ยงปลานิลได้ เนื่องจากการเลี้ยงปลาในพื้นที่จำกัดในอัตราความหนาแน่นที่มากกว่าสภาพในธรรมชาติทำให้มีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำอยู่ตลอดเวลาในช่วงระยะเวลาการเลี้ยง จึงต้องมีการดูแลและจัดการ เพื่อคงคุณภาพน้ำไว้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ
ทั้งนี้ การเลี้ยงปลาในเชิงธุรกิจ จะเน้นเลี้ยงในปริมาณที่มีหนาแน่นสูง ทำให้มีปริมาณการขับของเสียในรูปของไนโตรเจนมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญโปรตีนที่ได้จากอาหาร โดยปลาจะขับถ่ายของเสียในรูปของไนโตรเจนออกมาประมาณ 60-80% ในรูปของแอมโมเนีย และไนไตรท์ โดยจากเก็บข้อมูลทางด้านของลักษณะทางกายภาพของบ่อเลี้ยงปลานิล เป็นเวลา 30 วันพบว่า
สารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสส่วนใหญ่ ที่เข้าสู่ระบบการเลี้ยงมาจากอาหารปลา ซึ่งคิดเป็น 50-52% ของสารประกอบไนโตรเจน และ 58-60% ของสารประกอบฟอสฟอรัสทั้งหมด สำหรับในวันสุดท้ายของการทดลองพบว่า สารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสคงเหลืออยู่ในน้ำ คิดเป็น 12-32% ของสารประกอบไนโตรเจน และ 32-36% ของสารประกอบฟอสฟอรัส เมื่อเทียบกับปริมาณธาตุอาหารที่เข้าสู่ระบบการเลี้ยง
อีกทั้งยังพบว่าคุณภาพน้ำในทุกๆ ชุดการทดลองที่มีการใส่สาหร่ายเตา จะมีปริมาณความเข้มข้นของสารประกอบไนโตรเจน และฟอสฟอรัสต่ำกว่าชุดควบคุม โดยความหนาแน่นของสาหร่ายเตาที่เหมาะสมในการลดสารประกอบไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในน้ำจากการเลี้ยงปลานิลอยู่ที่ระดับ 0.6-0.7 กรัมต่อลิตร ซึ่งความสำเร็จของผลงานวิจัยคือ สามารถลดการใช้สารเคมีเพื่อเป็นวัตถุดิบในอาหารปลานิล ลดต้นทุนค่าอาหารปลานิลได้ และเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตจากสาหร่ายเตา
รวมถึงนำข้อค้นพบจากงานวิจัยที่บูรณาการแล้วไปส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเตาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรได้ อย่างไรตาม ชุมชนที่มีอาชีพเลี้ยงปลาสามารถนำข้อค้นพบจากงานวิจัยไปประยุกต์ใช้เพื่อผลิตอาหารปลาที่มีประสิทธิภาพสามารถลดต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารในการเพาะเลี้ยงปลา ทำให้มีรายได้มากขึ้นและในอนาคตจะหาทีมวิจัยเสริมเกี่ยวกับการตลาดเพื่อนำความรู้การตลาด มาพัฒนาต่อยอดสาหร่ายเตา เป็นผลิตภัณฑ์แพ็กเกจอาหารปลา
รวมถึงอาจจะต่อยอดทำอาหารเสริมสำหรับคนด้วย!!!
กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี