สธ.เตรียมประกาศโรคโควิด-19 เข้าสู่โรคประจำถิ่น 1 ก.ค.โดยระหว่างนี้ 4 เดือน มี.ค.-มิ.ย.คุมโรค ตัวเลขผู้ป่วยเสียชีวิตลดลงจนเป็นที่ยอมรับได้ คาดปลาย มิ.ย. เหลป่วย 1-2 พันคน พร้อมปรับแก้กฎหมายอีก 9 ฉบับวางแผนการรักษา แต่ระหว่างนี้ยังต้องปฏิบัติตัวเคร่งครัด รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ขณะที่"“อนุทิน” ขอประชาชนอย่าเพิ่งการ์ดตก ย้ำ UCEP PLUS ผู้ป่วยสีเหลือง-แดงเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า ทางคณะกรรมการฯได้เห็นชอบตามแผนและมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านของโควิด -19 สู่การโรคประจำถิ่นเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย บนพื้นฐานของการที่เศรษฐกิจและสังคม ได้รุดหน้า ซึ่งประเทศอื่นกำลังเดินหน้าเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งนี้ได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บริหารจัดการ อาทิ การเฝ้าระวัง มาตรการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศ การจัดการเรื่องวัคซีน มาตรการควบคุมโรค มาตรการด้านการรักษาพยาบาล เพื่อให้ประชาชนได้กลับมามีชีวิตตามปกติ ปัจจุบันนี้ อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับที่สากลยอมรับคือ เสียชีวิต 1 ต่อ 1 พันราย ซึ่งปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของไทยอยู่ที่ไม่ถึง 1 ต่อ 1 พันราย
“ปลายเดือนมิถุนายนนี้ เราต้องเริ่มเดินเข้าสู่การให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น เตียงพยาบาลต้องพร้อม อัตราความรุนแรงอยู่ในจุดที่ควบคุมได้ จำนวนผู้เสียชีวิต ต้องอยู่ในจุดที่สอดคล้องกับที่องค์การอนามัยโลกกำหนด มีความพร้อมเพรียงของยา เป็นต้น ส่วนการปฏิบัติตน ให้รักษาวินัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากาก เหมือนที่เคยปฏิบัติมา จะช่วยลดอัตราเสี่ยงลดลง ทั้งนี้ จากข้อมูลคือ การได้รับวัคซีนบูสเตอร์อย่างครบถ้วน จะช่วยลดอาการป่วยหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายอนุทิน กล่าว
นอกจากนั้น รับหลักการ เรื่องเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น แก่กลุ่ม 608 ก่อนสงกรานต์ให้ได้มากที่สุด เนื่องจากปัจจุบัน พบผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และมีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการติดเชื้อเพิ่ม แน่นอนว่า เราเสียใจกับทุกความสูญเสีย แต่เราก็ต้องชี้แจงว่า จำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตนั้น มีรายละเอียดอย่างไร โดยมากกว่า 95% คือ ผู้ที่เข้าไม่ถึงวัคซีน ไปจนถึงกลุ่ม 608 มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้ เข้าใกล้สงกรานต์ ซึ่งไม่ได้มี ข้อห้าม ในการเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา
นายอนุทิน กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงฯ อยากวิงวอนพี่น้องประชาชน คือ การรักษามาตรการอย่างเคร่งครัด ตอนนี้ ไทยยังมีผู้สูงอายุ เกือบ 2 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย ต้องขอให้ทุกภาคส่วน พามารับบริการ ทราบว่า หน่วยงานต่างๆ ไปจนถึง อสม. ไม่ได้ละเลย แต่ก็พบว่า ผู้สูงอายุ ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่าปลอดภัย เนื่องจากไม่ได้เดินทาง ก็ต้องทำความเข้าใจ ว่า อยู่บ้านก็มีโอกาสติดเชื้อจากคนรอบข้าง
สำหรบวัคซีนเข็ม 4 ถ้าอยู่ในกล่มที่ต้องพบปะกับผู้คนจำนวนมาก ด้วยอาชีพที่ประกอบ เช่น ผู้ขับรถสาธารณะ พนักงานตามห้างร้าน ขอให้มาแจ้ง เราจะบริการให้ โดยเราจะกำหนดว่า ระยะห่างระหว่างเข็ม 3 ถึง เข็ม 4 เป็นอย่างไร แต่ตามหลักคือ ระยะห่าง 3 เดือน วานนี้มีข่าวโซเชียล ขึ้นหน้าอดีตท่านปลัดฯ แล้วมาบอกว่า วัคซีนมีอันตราย มีคนเข้ามาสอบถามจำนวนมาก พอเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นเรื่องเก่า ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ขอย้ำว่า วัคซีน มีความปลอดภัย และป้องกันการป่วยหนักได้
“ส่วนเรื่องประกาศ UCEP PLUS นั้น เมื่อประกาศไปแล้ว คนที่อาการสีเขียว หรือ ไม่แสดอาการ ถึงอาการน้อยมากๆ ให้เข้าดูแลในระบบ Home Isolation หรือ สามารถไปหาแพทย์ ตามโรงพยาบาลรัฐ ตามสิทธิ์ ได้ แต่หากไปโรงพยาบาลเอกชน ต้องจ่ายเงินเอง อันนี้ สำหรับผู้ป่วยเกณฑ์สีเขียว แต่ผู้ป่วยอาการสีเหลือง และสีแดง เข้าเกณฑ์ UCEP สามารถเข้ารักษาที่โรงพยาบาลที่ไหนก็ได้”นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่าหากเป็นโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้วจะมีการพิจารณาเรื่องการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็เป็นไปตามขั้นตอน โดยกฎหมายดังกล่าว ช่วยให้เกิดการบูรณาการทุกหน่วยงานให้สามารถทำงานได้ตามกฎหมาย เพราะการควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถไปสั่งการได้ทุกหน่วยงาน อย่างไรก็ตามพอโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้วทุกอย่างก็อยู่ภายใต้มือหมอ ก็จะมีการพิจารณาเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา การมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วยอำนวยความสะดวก ในการบริหารจัดการตามแนวชายแดน ที่ต้องขอความร่วมมือฝ่ายความมั่นคง เพราะเราสั่งการข้ามหน่วยงานไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายตรงนี้ช่วย
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงค์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อวางกรอบการเป็นโรคประจำถิ่นว่า ต้องทำอย่างไร โดยจะแบ่งเป็น 4 เฟส ของการเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ได้แก่ ระยะที่ 1 (12 มี.ค.-ต้น เม.ย.) เรียกว่า Combatting ต้องออกแรงกดตัวเลขไม่ให้สูงกว่านี้ เป็นระยะต่อสู้ เพื่อลดการระบาด ลดความรุนแรงลง ระยะที่ 2 (เม.ย.-พ.ค.) เรียกว่า Plateau คือ การคงระดับผู้ติดเชื้อไม่ให้สูงขึ้น ให้เป็นระนาบจนลดลงเรื่อยๆ ระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค.-30 มิ.ย.) เรียกว่า Declining การลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้เหลือ 1-2 พันราย และระยะที่ 4 ตั้งแต่ 1 ก.ค.2565 เป็นต้นไป เรียกว่า Post pandemic คือ ออกจากโรคระบาดเข้าสู่โรคประจำถิ่น
โดยช่วงแรก มีนาคม -เมษายน ภายใน 1 เดือน จะพยายามให้กราฟตัวผู้ป่วยติดเชื้อ ที่ตอนนี้เป็นขาขึ้น ให้คงตัว เป็นแนวระนาบ จากนั้น ในช่วง พฤษภาคม- มิถุนายน เป็นช่วงที่ผู้ป่วยติดเชื้อจะค่อยๆ ลดลง ในช่วงปลาย มิ.ย. หรือราว 30 มิถุนายน ตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อคาดเหลือ 1,000-2,000 คนต่อวัน ทั้งนี้จะต้องมีการปรับแก้กฎหมายถึง 9 ฉบับ เพื่อเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น และต้องทำให้มาตรฐาน Covid Free Setting เป็นมาตรฐานการควบคุมโรคในอนาคต มีแนวทางการรักษาที่เหมาะสม สอดคล้องกัน และในส่วนของอัตราการเสียชีวิตก็ต้องลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 1,000 โดยอัตราการเสียชีวิตของไทยขณะนี้อยู่ที่ 0.19% ขณะที่ทั่วโลก อยู่ที่ 1.3%
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี