‘ผู้เลี้ยงไก่’ท้อรัฐยกเลิกมาตรการข้าวโพด-ข้าวสาลี 3:1 กำหนดโควตา จำกัดเวลา ไม่เกิดประโยชน์ แต่ซ้ำเติมให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นเพราะเนื้อสัตว์ยังถูกควบคุม ควรพิจารณากลไกตลาดมาเป็นตัวกำหนดราคา ก่อนถอดใจเลิกเลี้ยง
17 มีนาคม 2565 นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มติที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ไก่เนื้อ สุกร และไก่ไข่ และตัวแทนเกษตรกรด้านการเพาะปลูก เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าสูงขึ้น ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ยและผลไม้ โดยที่ประชุมเห็นชอบยกเลิกมาตรการ 3:1 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วนต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เป็นการชั่วคราว และให้นำเข้าข้าวสาลีได้เสรีจนถึงวันที่ 31 ก.ค.65 ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดยังไม่ออกสู่ตลาดและต้องนำเข้าภายใต้โควตาที่กำหนดเท่านั้น
“ภาครัฐยังต้องกำหนดรายละเอียดนำเข้าและวันที่เริ่มนำเข้าซึ่งต้องใช้เวลา ยังโดนจำกัดด้วยโควตานำเข้าและระยะเวลา เพื่อปกป้องชาวไร่ข้าวโพด แต่ทอดทิ้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้แบกภาระต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นแรงมากในปีนี้และเป็นต้นทุนการเลี้ยง 60-70% ของการเลี้ยง ขณะที่อาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ โดนควบคุมราคาทั้งห่วงโซ่การผลิต” นางฉวีวรรณ กล่าว
สำหรับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อภาคปศุสัตว์ทั่วโลกรวมทั้งไทย เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลกทั้งข้าวโพดและข้าวสาลี ทำให้ไทยไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ตามปกติขณะที่ราคาพุ่งขึ้น 43% จาก 8.91 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก. และข้าวโพดจาก 10.05 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก.
นางฉวีวรรณ กล่าวย้ำว่า แม้ภาครัฐจะยกเลิกมาตรการ 3:1 เป็นการชั่วคราว ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคปศุสัตว์ ที่ผ่านมาสมาคมฯในฐานะตัวแทนเกษตรกรเรียกร้องไปยังภาครัฐให้พิจารณานำกลไกการตลาดมาใช้แทนมาตรการควบคุมราคา เพื่อให้ราคาปรับขึ้นลงอย่างสมดุลตลอดห่วงโซ่การผลิตตามหลักการอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) จึงควรยกเลิกการคุมราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และราคาเนื้อสัตว์ ให้ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยมีภาครัฐเป็นผู้กำกับดูแล
ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน ใช้มาตรการกำหนดราคาจำหน่ายไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม และราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนไก่สด เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนม.ค.65 ไปสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.65 เพื่อลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค ขณะที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ประกอบการ ผู้ค้า และฟาร์มเลี้ยงไก่ต้องปฏิบัติตามมาตรการดังนี้ 1.ผู้เลี้ยงไก่ที่มีปริมาณการเลี้ยงตั้งแต่ 100,000 ตัวขึ้นไป และโรงชำแหละไก่ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 4,000 ตัว/วัน ต้องแจ้งปริมาณ สต็อกและต้นทุนราคาจำหน่ายทุกเดือน 2.โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทั้ง 55 โรง ต้องแจ้งต้นทุนราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตและสต็อก และ 3.การปรับราคาสินค้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการค้าภายใน
นางฉวีวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคผู้เลี้ยงสัตว์ขาดทุนสะสมต่อเนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองสูงขึ้นโดยตลอด ในปี 2564 ราคาปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 30-40% รวมถึงปัจจัยการผลิตและการป้องกันโรคระบาดปรับราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย การปล่อยให้ราคาเนื้อไก่ที่ปรับสูงขึ้นตามกลไกตลาดจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ให้มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุน ที่สำคัญยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
“หากรัฐบาลยังคงใช้มาตรการการคุมราคาสินค้าภาคปศุสัตว์ทั้งห่วงโซ่การผลิตต่อไป จะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยและรายเล็กไม่สามารถแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ที่ผ่านมาเนื้อไก่เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดีย่อยง่าย เป็นทางเลือกทดแทนยามเนื้อหมูราคาแพงและขาดแคลน และยังคงเป็นอาหารที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ทั่วไปในราคาที่เป็นธรรม หากราคาเนื้อสัตว์โดนควบคุมต่อไปไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ผู้เลี้ยงไม่สามารถอยู่ได้ก็ต้องหยุดเลี้ยง อาจทำให้เกิดปัญหาอาหารขาดแคลนได้” นางฉวีวรรณ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี