กศน.จับมือ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จัดการศึกษาทางไกล หลักสูตรพิเศษให้เด็กและเยาวชนที่กระทำผิด
วันที่ 8 เมษายน 2565 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดการศึกษาทางไกล ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย( กศน.) กับ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยมี นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง กับนายวัลลพ สงวนนาม เลขาธิการ กศน. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และมีนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ ผู้ช่วยเลขานุการ รมช.ศธ. นายปริญญา เชาวลิตถวิล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นายปรเมศวร์ ศิริรัตน์ รองเลขาธิการ กศน. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา คณะผู้บริหาร กศน. เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
นางกนกวรรณ กล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สำนักงาน กศน. การลงนามความร่วมมือดำเนินงานการศึกษาทางไกล ระหว่างสำนักงาน กศน. กับ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในวันนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่จะร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนการศึกษาทางไกล ให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะสะท้อนการทำงานการส่งเสริมและสนับสนุนภายใต้บทบาทภารกิจอำนาจหน้าที่ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญและความอดทนที่จะต้องแสวงหาวิธีการที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้มากที่สุด ชาว กศน.ต้องทำงานหนักเพื่อพิสูตร์และยกระดับตัวตนให้เหมาะสมสอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ….. ที่กำลังพิจารณาอยู่ในชั้น กมธ. และสร้างความมั่นใจให้กับรัฐสภาที่จะผ่านกฏหมายฉบับนี้ และจะทำให้ กศน.เป็นกรม สามารถที่จะจัดการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาร่วมกับภาคีเครือข่ายได้กว่างขวางและเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ก็ถือเป็นภาคีเครือข่ายที่จะร่วมกันสนับสนุนการศึกษาไปด้วยกัน
“รัฐบาลมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกช่วงวัย ให้มีประสิทธิภาพ มีขีดความสามารถสอดคล้องรองรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ในส่วนของการศึกษาก็เช่นเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับนโยบายจากรัฐบาล และมีนโยบายขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสิ่งที่จะตอบโจทย์การศึกษา ในเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัล ก็คือเรื่องของการศึกษาทางไกล ความท้าทายอยู่ที่ว่าเราจะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนและขับเคลื่อนการบริหารจัดการศึกษาทางไกลให้มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ที่สะดวก มีคุณภาพและทั่วถึง มีความทันสมัยตอบโจทย์ Lifestyle ของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป และรองรับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID -19 ได้อย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายพิเศษ หรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่มีเงื่อนไขในเรื่องของเวลา การเดินทางหรือระยะทาง หรือปัจจัยอื่น ๆที่ไม่สามารถเข้าเรียนได้ตามปกติ” รมช.ศธ. กล่าว
ด้านนายประกอบ ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง กล่าวว่า เนื่องด้วยเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดและมีคดีมาสู่ศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วราชอาณาจักร พบว่าเป็นเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาภาคบังคับ ส่วนใหญ่เรียนอยู่ระหว่างชั้น มัธยมปีที 1-3 แต่ไม่จบ เมื่อกระทำความผิดแล้วก็ไม่เรียนต่อ หรือออกจากการศึกษาแล้วมากระทำความผิด ศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วราชอาณาจักรมุ่งเน้นบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูให้เด็กและเยาวชนกลับตนเป็นคนดีและกลับคืนสู่สังคม
เมื่อมีคำพิพากษาถ้าเป็นคดีร้ายแรงเป็นภัยต่อบุคคลอื่น อาจพิพากษาให้ควบคุมตัวไว้เพื่อฝึกอบรม ก็จะได้รับการฝึกอบรมในระบบปิด คือสถานพินิจ ในกรณีไม่ร้ายแรงและบิดามารดาสามารถดูแลได้ อาจปล่อยตัวไปโดยการคุมความประพฤติ ในกรณีที่เด็กและเยาวชนไม่ได้ศึกษาต่อ ก็จะวางข้อกำหนดให้เด็กและเยาวชนศึกษาเล่าเรียน ถ้าเด็กและเยาวชนยังไม่จบชั้น ม. 3 ก็จะวางข้อกำหนดให้เรียนจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น หรือชั้น ม.3 และข้อกำหนดอื่น ๆที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตเด็กและเยาวชน แต่มีปัญหาติดขัดตลอดมา เพราะเด็กและเยาวชนเหล่านี้ไม่สามารถกลับไปเรียนในระบบปกติได้เนื่องด้วยออกจากระบบมาหลายปี เรียนไม่ทันเพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือโตกว่าเพื่อนในห้องที่จะกลับไปเรียน มีปัญหาในการปรับตัว จะให้สมัครเรียนการศึกษานอกระบบก็มีปัญหาในบางคนที่อายุยังไม่ครบ 15 ปีที่ยังไม่หลุดจากการศึกษาภาคบังคับ สมัครเรียนไม่ได้ เพราะไม่มีหนังสือส่งตัวจากเขตพื้นที่การศึกษา หรือไม่มีความใส่ใจในการเรียน ไม่เห็นประโยชน์ในการเรียน
ศาลเยาวชนฯทั่วราขอาณาจักร มีระบบ ติดตาม แนะนำ ช่วยเหลือให้เด็กและเยาวชนเห็นความสำคัญของการเรียนให้จบการศึกษาภาคบังคับ เพื่อสร้างโอกาสในการศึกษาต่อในสายอาชีพ มีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ศาลเยาวชนฯจะส่งให้เรียนต่อสายอาชีพ แต่ติดขัดที่เด็กและเยาวชนเหล่านี้ไม่มีวุฒิ ม.3 ไปสมัครเรียนได้
“รมช.ศธ.และเลขาธิการ กศน มีความเมตตา ที่จัดหลักสูตรพิเศษของ กศน. ให้เด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ จะทำให้เด็กและเยาวชนสามารถนำผลการเรียนที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมและการฝึกอาชีพที่คณะผู้พิพากษาสมทบจัดขึ้นที่ศาลเยาวชนและครอบครัวเทียบโอนรายวิชา ทำให้การเรียนของเด็กและเยาวชนที่ผ่านมา และการทำกิจกรรมฝึกอาชีพไม่สูญเปล่า และจบการศึกษาได้เร็วขึ้น ไม่เป็นภาระของครอบครัว เมื่อเด็กและเยาวชนจบการศึกษาชั้น ม.3 แล้ว ศาลเยาวชนและครอบครัวก็มีแหล่งการศึกษาสายอาชีพที่จะรองรับให้เข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน และมีทุนให้เรียนฟรีต่อไป ซึ่งจะทำให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้สามารถมีอาชีพการงานที่สุจริตเป็นพลเมืองดีของชาติบ้านเมืองต่อไป” นายประกอบ กล่าว
ขณะที่ นายวัลลพ สงวนนาม เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า เป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้รูปแบบการศึกษาทางไกล ซึ่งก่อนนี้ได้มีการหารือกันมาก่อนแล้วถึงการรับสมัครเด็กกลุ่มพิเศษนี้ ดังนั้น หลังจากลงนามความร่วมมือกันแล้ว ทางศาลเยาวชฯและกศน.ก็จะประกาศรับสมัครได้เลย จากนั้นจะมีการวิเคราะห์เอกสารการรับสมัครเป็นรายบุคคล และดูต้นทุนแต่ละคน มีการเทียบโอนการศึกษาในวิชาที่เคยเรียนมาแล้วให้ มีการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ถึงแนวทางการเรียนและข้อห้ามแนวทางปฏิบัติเงื่อนไขต่าง ๆที่ผู้สมัครต้องรับทราบ หลังจากนั้นก็เข้าสู่การเรียนการสอน และมีภาคีเครือข่ายคือศาลเยาวชนฯกับ กศน.ติดตามผลการดำเนินการที่ผ่านมาว่ามีความก้าวหน้าและมีปัญหาอุปสรรค์อย่างไร เมื่อเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ก็จะเชิญสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เข้ามาส่งเสริมด้านอาชีพ เช่น หลักสูตรระยะสั้น หรือส่งต่อเรียนในระบบอาชีวเรียนฟรีอยู่ประจำ หรือเรียนหลักสูตรต่อเนื่องกับ กศน.ที่เติมความรู้ทักษะเกี่ยวกับอาชีพให้กับผู้เรียน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี