วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
‘แรงงานนอกระบบ’เสี่ยงสูง  ‘แก่-เจ็บ-จน’ทุกข์ผู้สูงอายุไทย

‘แรงงานนอกระบบ’เสี่ยงสูง ‘แก่-เจ็บ-จน’ทุกข์ผู้สูงอายุไทย

วันพุธ ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
Tag : ผู้สูงอายุไทย แรงงานนอกระบบ
  •  

13 เมษายน ของทุกปี นอกจากจะเป็นวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ไทยแล้ว ยังเป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ธ.ค. 2525 เพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ ทั้งในฐานะประชากรที่บุกเบิก พัฒนาหรือทำคุณประโยชน์แก่สังคม รวมถึงบุพการี ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูคนรุ่นหลังให้เติบโตขึ้นมา ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัย” ซึ่งประชากรอายุ60 ปีขึ้นไป มีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กเกิดใหม่ลดลงจนส่งผลต่อกำลังแรงงานในอนาคต การสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเป็นผู้สูงอายุ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) นำเสนอผลการศึกษา โครงการ “การจัดทำนโยบายและมาตรการ และวิเคราะห์ภาระทางการคลังต่อชุดสวัสดิการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุของแรงงานนอกระบบ” ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง TDRI กับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบว่า 1.โครงสร้างครอบครัวไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทียบระหว่างปี 2541 กับปี 2562 ในขณะที่ครอบครัว 2 รุ่น (พ่อแม่และลูก) ลดลงจากร้อยละ 37 เหลือร้อยละ 22 กับครอบครัว 3 รุ่น (ปู่ย่าตายาย พ่อแม่และลูก) ลดลงจากร้อยละ 14 เหลือร้อยละ 3


แต่ครอบครัวแหว่งกลาง (เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย โดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 29 เป็นร้อยละ 32 เช่นเดียวกับครอบครัว 1 รุ่น (สามี-ภรรยาอยู่ด้วยกันแต่ไม่มีลูก) เพิ่มจากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 20 และผู้ใช้ชีวิตคนเดียว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 22 2.แรงงานรุ่นใหม่มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่แรงงานสูงวัยเพิ่มมากขึ้นเทียบระหว่างปี 2548 ปี 2558 และปี 2564 และเมื่อแยกระหว่างแรงงานในระบบกับนอกระบบ จะพบแรงงานสูงอายุ ตั้งแต่ 56-65 ปี 66-75 ปี และ 75 ปีขึ้นไป อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบมากกว่าในระบบ

ซึ่งเป็นเพราะแรงงานในระบบโดยปกติจะเกษียณอายุที่ 60 ปี หรือหากต่ออายุการทำงานโดยทั่วไปคือไม่เกิน 65 ปี ต่างจากแรงงานนอกระบบที่มักจะทำงานไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ร่างกายยังไหว 3.ครัวเรือนไทยทุกประเภทรายได้ลดลงส่วนทางกับค่าครองชีพและรายจ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น เทียบระหว่างปี 2541 กับปี 2562 แบ่งเป็นรายได้ต่อครัวเรือนลดลงเฉลี่ย 1,000 บาท/คน/เดือน รายจ่ายเฉลี่ยของสมาชิกครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 5,100 บาท/คน/เดือน เป็น 8,000 บาท/คน/เดือน ซึ่งร้อยละ 40 ของรายจ่ายคือค่าครองชีพ

และครัวเรือนมีรายได้สุทธิซึ่งสามารถนำไปเก็บออม จากเดิมคือ 5,900 บาท/คน/เดือน เหลือเพียง 2,200 บาท/คน/เดือน ซึ่งความสามารถในการออมที่ลดลงหมายถึงภาวะเปราะบางของแรงงานนอกระบบ 4.ร้อยละ 75 หรือ3 ใน 4 ของคนทำงานในประเทศไทยเป็นแรงงานนอกระบบหมายถึงแรงงานที่ไม่มีสวัสดิการสังคมที่อิงกับการประกอบอาชีพเช่น สวัสดิการของข้าราชการ หรือประกันสังคม มาตรา 33ของลูกจ้างเอกชน อีกทั้งในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา จำนวนแรงงานนอกระบบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

ที่น่าห่วงคือ แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 37 อยู่ในครอบครัวหรือครัวเรือนแหว่งกลาง (เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย โดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย) ดังนั้นจึงมีอัตราการพึ่งพิงสูง และเสี่ยงต่อภาวะ “แก่-เจ็บ-จน” 5.แรงงานนอกระบบที่ทำงานส่วนตัว (ธุรกิจหรืออาชีพอิสระที่ไม่มีลูกจ้าง) มักมีรายได้สูงกว่าแรงงานนอกระบบที่เป็นลูกจ้าง ในทางกลับกันแรงงานนอกระบบที่เป็นลูกจ้างมักมีรายได้สุทธิต่อเดือนติดลบ หมายถึงหาเช้ากินค่ำ ใช้เดือนชนเดือน จึงไม่สามารถเก็บออมได้ หรือหนักไปกว่านั้นคือมีหนี้สินด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้แรงงานนอกระบบที่ทำงานส่วนตัวจะมีรายได้สูง หากไม่รู้จักเก็บออมหรือมีเงินออมต่อเดือนต่ำ ก็ยังสุ่มเสี่ยงชีวิตมีปัญหาในวัยเกษียณ โดยสรุปแรงงานนอกระบบจึงไม่มีความมั่นคงทางการเงินสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ 6.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง สปสช. หรือบัตร 30 บาท) เป็นที่พึ่งหลักของแรงงานนอกระบบยามเจ็บป่วยถึงร้อยละ 95 รองลงมาคือการจ่ายเงินสด และการทำประกันเอกชนตามลำดับ ซึ่งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องอุดหนุน อย่างไรก็ตาม แรงงานนอกระบบยังต้องจ่ายค่าส่วนเกินนอกเหนือจากสิทธิดังกล่าว อีกทั้งเมื่อเทียบระหว่างปี 2548 ปี 2558 และ
ปี 2564 ยังพบว่าต้องจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย

7.แนวโน้ม “แก่พร้อมป่วย” เพิ่มขึ้น หากเทียบระหว่างปี 2548 ปี 2558 และปี 2564 พบสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่สุขภาพดีไม่มีโรคประจำตัว ลดลงจากร้อยละ 48.7 เหลือร้อยละ 44 และร้อยละ 41.1 ตามลำดับ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเพียง 1 โรค ลดลงจากร้อยละ 40.2 เหลือร้อยละ 33.7 และร้อยละ 27.9 ตามลำดับ ตรงข้ามกับผู้ที่มีโรคประจำตัวมากกว่า 1 โรค ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.2 เป็นร้อยละ 22.4 และร้อยละ 31 ตามลำดับ

8.โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน เป็นภัยคุกคามสำคัญ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงแล้ว ยังเป็นภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้ป่วยด้วย อีกทั้งยิ่งอายุมากขึ้นสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพก็ยิ่งสูงขึ้น แต่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้นมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต คำถามคือจะทำอย่างไรให้เกิดการปรับเปลี่ยน เช่น การเลือกรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม-สาววัยทำงาน เพื่อลดโอกาสป่วยยามชราซึ่งหมายถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

9.แม้รัฐไทยจะพยายามสร้างระบบประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบ หรือมาตรา 40 แต่ข้อสังเกตคือที่ผ่านมาได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย จำนวนผู้สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2564 ที่เพิ่มจาก 6.17 ล้านคน ในเดือน ก.ค. 2564 เป็น 10.66 ล้านคน ในเดือน ธ.ค. 2564 ในขณะที่ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 คือเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2564 มีผู้ประกันตนมาตรา 40 เฉลี่ยเดือนละ 3.5-3.6 ล้านคนเท่านั้น

ซึ่งสาเหตุที่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 มีผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพราะรัฐบาลมีมาตรการจ่ายเงินเยียวยาผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยแรงงานนอกระบบนั้นจะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เสียก่อน จึงกลายเป็นคำถามว่า หลังจากนี้จำนวนผู้ประกันตนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในกองทุนต่อไปหรือไม่

10.จากการสอบถามแรงงานนอกระบบกลุ่มตัวอย่างรวม 500 คน จาก 11 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี จันทบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ลพบุรี สุพรรณบุรี เชียงใหม่ และสงขลา ในด้านกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุ พบกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ รู้จักกองทุนทวีสุข ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มากที่สุด ร้อยละ 59.18 รองลงมาคือ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ หรือกองทุนสวัสดิการชุมชน/หมู่บ้าน ร้อยละ 54.64 ในขณะที่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นกองทุนที่แรงงานนอกระบบรู้จักน้อยที่สุด เพียงร้อยละ 21.03

11.จากกลุ่มตัวอย่าง 500 คน พบไม่ถึงครึ่ง คือ ร้อยละ 43.64 ที่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมอย่างน้อยประเภทใดประเภทหนึ่ง ในจำนวนนี้ ร้อยละ 17.78สมัครเป็นผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 40 (ทางเลือกที่ 2)รองมาลงคือ กองทุนหมู่บ้านหรือกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ร้อยละ 17.17 อันดับ 3 คือ ผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 40 (ทางเลือกที่ 3) และอันดับ 4 คือกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร้อยละ 3.43 ทั้งนี้ แรงงานนอกระบบมีความเห็นว่า ทั้งประกันสังคมมาตรา 40 และ กอช. ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจได้มากพอจนรู้สึกอยากสมัครเป็นสมาชิก

12.กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 76.49 ใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐ ขณะที่อีกร้อยละ 23.51 ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในกลุ่มที่ใช้บริการ รพ.รัฐ พบปัญหา 3 อันดับแรก อันดับ 1 รอคิวนานกว่า รพ.เอกชน อันดับ 2 ไม่สะดวกในการเดินทาง อันดับ 3 ไม่สะดวกในการใช้บริการในเวลาทำการ 13.ฝากเงินคือการออมยอดนิยม หากแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามรายได้ คือน้อยกว่า 18,000 บาทต่อเดือนและมากกว่า 18,000 บาทต่อเดือน พบการออมของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่คือการฝากเงินไว้ในธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้มากหรือน้อยกว่า 18,000 บาทต่อเดือน

14.ถึงกระนั้น พฤติกรรมการออมของแรงงานนอกระบบก็ยังน่าเป็นห่วง เห็นได้จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เน้นการฝากเงิน ซึ่งผลตอบแทนไม่มากเท่าการออมในกองทุนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการเก็บออมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วยไม่ใช่การเก็บออมในระยะยาวสำหรับเกษียณอายุซึ่งสุ่มเสี่ยงเกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของแรงงานนอกระบบในอนาคต นอกจากนี้ รายได้ยังมีผลต่อการตัดสินใจออมเงิน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีเงินออม ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่รายได้น้อยกว่า 18,000 บาทต่อเดือน

15.กลุ่มตัวอย่างกังวลเรื่องเงินไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพมากที่สุด ร้อยละ 38.33 รองลงมา สวัสดิสการการรักษาพยาบาล ร้อยละ 31.33 และร้อยละ 30.34 ไม่มีสมาชิกในครัวเรือนหรือผู้ดูแลผู้สูงอายุมากดูแล 16.หากในอนาคตมีการจ่ายเงินสมทบร่วมของแต่ละคนเพื่อให้ได้บริการเพิ่มเติมจากพื้นฐาน พบกลุ่มตัวอย่างเต็มใจจ่ายเพิ่มเพื่อให้สามารถเลือกใช้บริการได้ทั้ง รพ.รัฐและเอกชน มากที่สุด รองลงมาคือ การดูแลระยะยาว อันดับ 3 การเข้าถึงวัคซีน อันดับ 4 เงินบำนาญ และอันดับ 5 เงินชดเชยหากต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

16.คณะผู้วิจัยทดลองออกแบบชุดสวัสดิการรูปแบบใหม่ แบ่งเป็น 16.1 ส่งเงินสมทบ 1,000 บาท/เดือนโดยผู้ส่งเงินสมทบจะได้รับเงินบำนาญ 3,000 บาท/เดือน เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังได้รับค่าชดเชยกรณีต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 500 บาท/วัน (จำนวน30 วัน/ครั้ง) และเงินปันผลจำนวน 1,000 บาท/ปี กับ 16.2 ส่งเงินสมทบ 2,000 บาท/เดือน โดยผู้ส่งเงินสมทบจะได้รับเงินบำนาญ 5,000 บาท/เดือน เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้ยังได้รับค่าชดเชยกรณีต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 700 บาท/วัน (จำนวน 30 วัน/ครั้ง) ค่าวัสดุสิ้นเปลืองและค่าผู้ดูแลรวมต่อเดือน ก้อนแรก 10,000 บาทสำหรับค่าวัสดุอุปกรณ์ จากนั้นหากเป็นกรณีติดบ้านจะได้ 2,800 บาท/เดือน หรือหากเป็นกรณีติดเตียงจะได้ 3,900 บาท/เดือน อีกทั้งได้รับสิทธิการเข้าถึงวัคซีนและยารักษาโรคหากมีโรคอุบัติใหม่ และเงินปันผลจำนวน 1,000 บาท/ปี

17.หากมีการพัฒนาชุดสวัสดิการรูปแบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 67.22 สนใจเข้าร่วม ส่วนรูปแบบการจ่ายเงินสมทบ ร้อยละ 56.49 พร้อมจ่ายเงินสมทบแบบทุกเดือน รองลงมา ร้อยละ 23.71จ่ายทุกๆ 6 เดือน และร้อยละ 17.79 จ่ายทุกๆ 1 ปี โดยช่องทางที่เห็นว่าสะดวกที่สุด 2 อันดับแรก คืออินเตอร์เนตแบงก์กิ้ง (จ่ายผ่านออนไลน์) ร้อยละ 47.22 กับเคาน์เตอร์เซอร์วิส (จ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ) ร้อยละ 31.96 ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุด ร้อยละ48.87 ในการทำหน้าที่บริหารจัดการชุดสวัสดิการใหม่

18.เมื่อพิจารณารายได้ของรัฐจากภาษี 4 ประเภทพบว่า 18.1 ภาษีเงินได้ แม้ข้อดีจะเป็นการจัดเก็บอัตราก้าวหน้า แต่ข้อจำกัดคือในประเทศไทยมีธุรกิจและแรงงานนอกระบบจำนวนมาก 18.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ประเทศไทยเก็บเพียงร้อยละ 7 ทุกครั้งที่มีการซื้อสินค้าหรือบริการ ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว และเวียดนามเก็บร้อยละ 10 แต่ปัญหาของภาษีมูลค่าเพิ่มคือคนรายได้น้อยจ่ายมากกว่าคนรายได้สูง

18.3 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้เป้าหมายต้องการให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ก็พบว่ามีข้อยกเว้นหรือข้อลดหย่อนมากเกินไป และ 18.4 ภาษีสรรพสามิต พบการจัดเก็บในส่วนของน้ำมันและรถยนต์เป็นหลัก ซึ่งเป็นไปได้ที่ในอนาคตจะเก็บได้น้อยลงเพราะผู้ขับขี่หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แทนรถยนต์น้ำมัน 19.สำหรับข้อเสนอแนะในส่วนของนโยบาย 19.1 ภาครัฐควรมีนโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านเงินบำนาญสำหรับแรงงานนอกระบบที่ชัดเจน

และควรมีมาตรการรองรับโดยจำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ตามลักษณะหรือความสามารถในการสมทบ เช่น ชุดสวัสดิการสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบรุ่นใหม่รายได้สูง/การศึกษาสูง ดังเช่น กลุ่มตัวอย่าง 500 คน ที่สำรวจและกล่าวถึงในข้างต้น มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 33 ปี และเรียนจบเฉลี่ยระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรีขึ้นไป) รองลงมาคือมัธยมศึกษาตอนปลาย

ซึ่งเหตุที่เน้นสำรวจกลุ่มนี้เพราะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้ประชากรวัย 20-50 ปี เข้าร่วมกับกองทุนที่ตั้งขึ้น อีกทั้งมีกำลังทรัพย์พอจ่ายเงินสมทบและมองเห็นความสำคัญของการจ่าย 19.2 สิทธิประโยชน์บางอย่างที่สะท้อนจากความต้องการของกลุ่มตัวอย่าง เช่น การดูแลระยะยาวสามารถสร้างการจ้างงานในอาชีพดูแลผู้สูงอายุ (Cavegiver)ได้ และ 19.3 ชุดสวัสดิการที่นำเสนอต้องอาศัยการดูแล/บริหารจัดการต่อยอดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกันสังคม หรือประกันเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ

และ 20.รัฐต้องกล้าขยายการจัดเก็บภาษี เช่น การขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ซึ่งแม้จะมีการต่อต้าน แต่การต่อต้านนั้นมีสาเหตุมาจากที่บุคคลหรือธุรกิจไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าสู่ระบบภาษีหรือการขึ้นภาษี ดังนั้นรัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่จะดำเนินนโยบายนี้ ต้องระบุเป้าหมายในการนำเงินภาษีที่จะเก็บเพิ่มนี้ไปใช้ให้ชัดเจนในด้านสวัสดิการสังคม เช่น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนำไปใส่ในกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากใช้บริการ

ทั้งนี้ แม้จะดูเหมือนเป็นนโยบายประชานิยม แต่ก็สามารถออกแบบกลไกให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาลได้!!!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

‘พิชิต’ย้ำ‘อิ๊งค์’ต้องลาออก เซ่นปมคลิป‘อังเคิลฮุน’ จับตา‘จตุพร’ประกาศท่าทียกระดับม็อบ

ไม่เข็ดก็จับอีก! ตร.เมืองกาฬสินธุ์ ‘รวบเด็กแว้น’ ยึดจยย.ซิ่งเสียงดัง 9 คัน

ฟาดจุกๆ! ‘หมอรพ.สรรพสิทธิประสงค์’หวด‘เท้ง’กล่าวหารพ.ไม่รับผู้ป่วยเขมร ฉะเป็นผู้นำไม่ได้

จนท.ปางมะผ้าสนธิกำลัง! รวบชายนั่งเสียบกิ่งมะม่วง-ค้นพบยาบ้าในตัวอีก200กว่าเม็ด

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved