ยุติธรรมเริ่มใช้แล้ว
กำไลอิเล็กทรอนิกส์
นำร่องคุม"เด็กแว้น"
แก้นักโทษล้นเรือนจำ
ที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 21สิงหาคม นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายสุชน ชาลีเครือ ที่ปรึกษารมว.ยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงความคืบหน้าในการนำเครื่องมือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับเด็กและเยาวชนในระบบงานคุมประพฤติ
สาระสำคัญในการร่วมแถลงข่าวหนนี้คือ จะเช่าใช้อุปกรณ์จำนวน 200 ชุดจากประเทศเกาหลี หรือ( Korean GPS Tracking System) ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีคุณสมบัติ น้ำหนักไม่เกิน 300 กรัม สามารถส่งข้อมูลแบบ GPRS หรือ GSM และสามารถใช้งานบนเทคโนโลยี GPS ได้กรณีที่อับสัญญาณ มีระบบการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เมื่อเกิดเหตุกับอุปกรณ์ เช่น แบตเตอรี่เหลือน้อย หรือ ใกล้หมดเมื่อออกจากพื้นที่ที่กำหนด พื้นที่ควบคุม พื้นที่ห้ามเข้าหรือห้ามออก หรือถูกถอดออกโดยไม่ใช้เครื่อง
โดยกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจะนำมาทดลองใช้กับกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 200 ราย ที่มีความผิดใน พ.ร.บ.จราจร หรือในกลุ่มเด็กแว้น เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมได้ตามปกติ
ในขณะที่ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ถึงการนำเครื่องมือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้กับผู้ต้องขังว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ต้องขังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหานักโทษล้นคุก โดยกรมราชทัณฑ์มีข้าราชการประมาณ 11,000 คน ในขณะที่มีจำนวนนักโทษถึง 270,000 บาท เท่ากับผู้คุม 1 คนต้องดูแลนักโทษ 50 คน ทั้งที่ตามมาตรฐานสากลสัดส่วนการดูแลนักโทษจะอยู่ที่ 1 ต่อ5 เท่านั้น ดังนั้น การใช้เครื่องมือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวต่อว่า หลังจากกรมคุมประพฤติและกรมพินิจฯได้ทำการทดลองใช้กับเด็กและเยาวชนเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว กรมราชทัณฑ์จะขยายผลเพื่อนำมาใช้กับผู้ต้องขัง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผู้ต้องขังจำคุกที่จะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าจะต้องจำคุก กรณี ผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย ไตวายเรื้อรัง มะเร็งระยะสุดท้าย 2.ผู้ต้องขังจำคุกจำเป็นคนต้องเลี้ยงบิดามารดา สามี ภรรยา บุตร ที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ และขาดผู้อุปการะ 3.ผู้ต้องขังเจ็บป่วยเรื้อรัง ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องออกไปรับการรักษาภายนอก เช่นฟอกไต หรือฉายรังสีทุกสัปดาห์ และ4. ผู้ต้องขังจำคุกที่มีเหตุอันควรได้รับการทุเลาการบังคับ เช่น วิกลจริต เพิ่งคลอดบุตรหรือตั้งครรภ์
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า แม้กรมราชทัณฑ์จะมีโรงพยาบาลเพื่อรักษานักโทษ โดยเฉพาะทัณฑสถานโรงพยาราชทัณฑ์ ซึ่งสามารถเปิดรับรักษานักโทษได้ถึง 500 เตียง และเปิดใช้งานจริงได้เพียง 250 เตียงและมีแพทย์ประจำเพียง 20 คน จากความต้องการแพทย์ประจำทั้งหมด 50 คน จึงทำให้การดูแลนักโทษที่เจ็บป่วยไม่ทั่วถึง สำหรับเรือนจำจังหวัดทั่วประเทศนั้นก็สามารถส่งนักโทษผู้ต้องขังเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลอำเภอได้ แต่เนื่องจากโรงพยาบาลดัง กล่าวไม่มีห้องพักพิเศษที่ควบคุมนักโทษเฉพาะจึงเกรงจะมีปัญหาเรื่องนักโทษหลบหนีออกไป
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรณีนักโทษป่วยและต้องแอทมิท ตามปกติเรือนจำต้องส่งผู้คุม 2 คนไปดูแลผู้ต้องขังป่วย 2 คน จึงทำให้กำลังเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ไม่พอ จึงประสานไปยัง น.พ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขอให้มีการสร้างห้องพิเศษสำหรับควบคุมนักโทษที่ป่วยในโรงพยาบาลจังหวัดและอำเภอ ซึ่งทางสาธารณสุขไม่มีปัญหา และขณะนี้หลายแห่งได้ตอบรับมาแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี