ศบค.ยันเมืองไทยยังต้องใส่แมส
เตรียมคลายล็อกสถานบันเทิง
เสนอเข้าที่ประชุมใหญ่20พ.ค.
สธ.จ่อลดเตือนภัยโควิดลงระดับ2
ป่วยรวมATK15,959คน-ดับ59ศพ
โควิดไทยขาลงชัดเจน ติดเชื้อเพิ่ม 8,019 ผลบวก ATK 7,940 รวมมีผู้ป่วยเพิ่ม15,959 คน อาการหนัก 1,353-ตายเพิ่ม 59 ศพ ศบค.ยันไทยยังถอดแมสเหมือนต่างประเทศไม่ได้ เพราะสถานการณ์แต่ละประเทศ
ไม่เหมือนกัน ย้ำเร่งฉีดวัคซีนรับเปิดเทอม17พค.ด้าน’สธ.’ถกตั้งกก.ร่วมรัฐ-เอกชนเดินหน้าเข้าโรคประจำถิ่น จ่อลดประกาศเตือนภัยโควิดลงเป็นระดับ2 ปลายพ.ค.จับตาศบค.ถกใหญ่20พค.ปรับมาตรการเพิ่ม เลิก“ไทยแลนด์ พาส”สถานบันเทิงลุ้นถึงคิวได้ปลดล็อค
เมื่อวันที่ 12พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงผลประชุมติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยรายวัน ที่แนวโน้มการระบาดดีขึ้นต่อเนื่อง
ติดเชื้อรวมATK15,959คน
โดยไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 8,019 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 7,950 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 7,909 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 41 ราย มาจากเรือนจำ 66 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 8,807 ราย อยู่ระหว่างรักษา 77,427 ราย ส่วนยอดการตรวจ ATK ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข มียอดผู้ติดเชื้อเข้าข่าย 7,940 ราย โดยจำนวนนี้ไม่รวมในการรายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ ซึ่งยืนยันผลด้วย RT-PCR เมื่อรวมกับยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ 8,019 ราย จะเท่ากับมีผู้ติดเชื้อ 15,959 ราย
โคมา1,353-ตายเพิ่ม59คน
ทั้งนี้ มีผู้ป่วยอาการหนัก 1,353 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 673 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 59 ราย เป็นชาย 31 ราย หญิง 28 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่อายุ 60 ปีขึ้นไป 49 ราย มีโรคเรื้อรัง 10 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,353,237 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,246,499 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 29,311 ราย อย่างไรก็ตาม ในจำนวนผู้เสียชีวิตวันนี้ของไทย พบว่า ร้อยละ 70 ไม่เคยได้รับวัคซีนและมีถึง 21 ราย อยู่ภาคอีสาน จึงขอรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีถึง 3 รายที่เสียชีวิตวันที่ตรวจพบเชื้อ และมี 9 ราย เสียชีวิตหลังพบเชื้อเพียง 3 วัน จึงฝากเตือนประชาชนหากมีอาการหรือเสี่ยงให้เร่งเข้ารักษา เพราะวันนี้มีมาตรฐานการรักษาที่ดีแล้ว
กทม.นำโด่ง-7จว.อีสานยังยึดท็อปเท็น
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดของประเทศ อันดับ 1 ยังคงเป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2,747 ราย ร้อยเอ็ด 253 ราย ชลบุรี 248 ราย บุรีรัมย์ 229 ราย สมุทรปราการ 195 ราย นครราชสีมา 189 ราย มหาสารคาม 177 ราย อุบลราชธานี 168 ราย ขอนแก่น 147 ราย สุรินทร์ 140 ราย
ศบค.ย้ำไทยถอดแมสเหมือนตปท.ไม่ได้
พญ.อภิสมัยยังกล่าวถึงกรณีมีหลายประเทศผ่อนคลายกิจกรรมกิจการ เปิดสถานบันเทิง รวมถึงไม่ใส่หน้ากากอนามัยนั้น ขอชี้แจงว่า เราไม่สามารถยึดประเทศใดเป็นต้นแบบได้ เพราะบริบทต่างกัน และแม้หลายประเทศจะผ่อนคลาย แต่พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้นด้วย ดังนั้น เราต้องยึดประกาศ ศบค. และมาตรการสาธารณสุขเป็นหลัก
เก็บตกฉีดวัคซีนนร.-จนท.รับเปิดเทอม
พญ.อภิสมัยกล่าวอีกว่า ในที่ประชุมศบค.ชุดเล็กได้หารือถึงการเปิดภาคเรียนวันที่ 17 พฤษภาคม โดยกระทรวงศึกษาธิการแจ้งข้อมูลการฉีดวัคซีนของเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปว่า มีทั้งสิ้น 5,114,503 ราย ประสงค์ฉีดวัคซีน 4,474,211 ราย ฉีดเข็มที่หนึ่ง 4,274,155 ราย ฉีดเข็มที่สอง 3,511,087 ราย ฉีดเข็มที่สาม 56,167 ราย ส่วนเด็กอายุ 5-12 ปี มีทั้งสิ้น 5,263,106 ราย ประสงค์ฉีดวัคซีน 3,369,572 ราย ฉีดเข็มที่หนึ่ง 1,785,414 ราย ฉีดเข็มที่สอง 296,209 ราย เราจึงขอให้โรงเรียนต่างๆ ติดตามเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้เข้ามารับวัคซีน รวมถึงบุคลากรในโรงเรียนด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความพร้อมของแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน อาจมีมาตรการต่างกัน บางแห่งอาจเปิดออนไซต์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่ไหนยังไม่พร้อม นักเรียนยังฉีดวัคซีนไม่ครบถ้วน สามารถสอนแบบออนไลน์ได้ อยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
จับตาถกปมไทยแลนด์พาส20พค.
ส่วนการประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันที่ 20 พฤษภาคมนั้น พญ.อภิสมัยเผยว่า จะมีการหารือถึงปัญหาและอุปสรรคหลังเปิดด่านผ่านแดนถาวร ส่วนเรื่องระบบไทยแลนด์พาส ยังคงมาตรการอยู่ และพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่มีการผ่อนคลายมาตรการ มีจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ศบค.วันดังกล่าวอาจมีหารือเรื่องไทยแลนด์พาสว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไรหรือไม่
สธ.ตั้งกก.วางมาตรการเข้าโรคประจำถิ่น
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการสถานการณ์โควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น (Endemic) ครั้งที่ 1/2565 มีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. พร้อมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด สธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม หลังหารือนายอนุทินแถลงว่า จากความร่วมมือทุกภาคส่วนทำให้สถานการณ์โควิดเริ่มมีแนวโน้มลดลงและอยู่ในการควบคุม ประชาชนมีภูมิคุ้มกันมากเพียงพอ สามารถเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคติดต่อทั่วไปได้ จึงต้องเตรียมปรับรูปแบบการบริหารจัดการ และการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตในวิถีปกติใหม่และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุมและบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนฯ เพื่อร่วมกำหนดแผน มาตรการและแนวทางข้อเสนอให้สามารถควบคุมสถานการณ์และเข้าสู่โรคประจำถิ่นได้อย่างเหมาะสม
“การประชุมครั้งแรกวันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการจัดการสถานการณ์โควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น เป้าหมายเพื่อกำหนดมาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุข มาตรการทางเศรษฐกิจและมาตรการทางสังคมและองค์กรให้สอดคล้องกัน รวมถึงการสร้างความร่วมมือของประชาชนในการรับมือและปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับโควิดที่เปลี่ยนมาเป็นโรคประจำถิ่น หรือโรคติดต่อทั่วไปได้อย่างปลอดภัย” นายอนุทิน กล่าว
ปลายพค.จ่อลดเดือนภัยเหลือระดับ2
และว่า จากแผนและมาตรการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดสู่โรคประจำถิ่นที่มี 4 ระยะคือ ระยะต่อสู้กับโรค (Combatting) ระยะโรคทรงตัว (Plateau) ระยะโรคลดลง (Declining) และระยะหลังการระบาด (Post pandemic) ขณะนี้ไทยอยู่ในระยะทรงตัว จึงประกาศลดระดับการเตือนภัยโควิดมาเป็นระดับ 3 พร้อมดำเนินงานแต่ละด้านคือ 1.ด้านสาธารณสุข เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่าร้อยละ 60 เน้นเฝ้าระวังการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน ผู้ป่วยปอดอักเสบ และผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 2.ด้านการแพทย์ ปรับแนวทางดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก เน้นดูแลผู้ป่วยเสี่ยงอาการรุนแรง มีอาการรุนแรงและภาวะลองโควิด 3.ด้านกฎหมายและสังคม เตรียมการด้านกฎหมายของทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกับการปรับตัวสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ลดจำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก ส่งเสริมมาตรการ Universal Prevention และมาตรการ COVID Free Setting และ4.ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย ทั้งนี้ คาดว่าปลายเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนสถานการณ์จะเข้าสู่ระยะโรคลดลง (Declining) และจะผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงจะประกาศลดระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 2
ผับบาร์ทั่วปท.ลุ้นถึงคิวได้ปลดล็อค
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะชงที่ประชุม ศบค.วันที่ 20 พฤษภาคม เรื่องการผ่อนคลายยกเลิกไทยแลนด์ พาส กับเปิดสถานบันเทิง ประเภทผับบาร์หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า สเต็บ บาย สเต็บ ต้องหารือกับกรมควบคุมโรคอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเป็นแนวทางผ่อนคลายให้ประชาชนดำเนินชีวิตได้ ส่วนเรื่องผับบาร์จะมีมาตรการออกมาเป็นลำดับ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องถูกเสนอเข้าที่ประชุม ศบค.ตามขั้นตอน แต่อยู่ในงื่อนไขความร่วมมือของประชาชน ตระหนักรู้ให้ตัวเองห่างไกลติดเชื้อ เมื่อมีความเสี่ยงก็ต้องแยกตัวเองไว้ก่อน
เมื่อถามถึงการหารือร่วมกับกลุ่ม รพ.เอกชน หลังโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การประกาศโรคประจำถิ่นต้องสอดคล้องกับสากล เนื่องจากการประกาศเป็นโรคระบาดร้ายแรงทางองค์การอนามัยเป็นผู้ประกาศ แต่ในทางปฏิบัติเราก็พยายามเดินเข้าสู่โรคประจำถิ่น แต่ตอนนี้ เราถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ใช้มาตรการดูแลประชาชนอยู่ แต่เมื่อทุกอย่างพร้อม ประชาชนเข้าใจแล้วก็เป็นโรคประจำถิ่น เหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ใช้ตามสิทธิรักษา หรือหากอยากรักษาเอง ก็ต้องให้ผู้ผลิตเวชภัณฑ์มาขึ้นทะเบียนใช้ภาวะทั่วไป ที่หาซื้อได้ตามร้านทั่วไป ซึ่งเราต้องเดินไปในแนวทางนี้
ด้านนพ.เกียรติภูมิกล่าวเพิ่มเติมว่า การประกาศลดระดับประกาศเตือนภัยโควิดจากระดับ 3 เป็นระดับ 2 ต้องดูสถานการณ์ ซึ่งต้องผ่าน ศบค.ก่อน ส่วนการจะพิจารณาเปิดผับบาร์ จะทำแบบพื้นที่นำร่องหรือจะเปิดพร้อมกันทั้งหมด นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า อยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องนี้
ขอปชช.ตั้งการ์ดเตรียมเข้าโรคประจำถิ่น
ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ถึงแม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมอยู่ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ (ASEAN –U.S. Special Summit) ที่สหรัฐฯ แต่ยังติดตามสถานการณ์โควิดในประเทศใกล้ชิด รับทราบรายงานสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล ที่แนวโน้มลดลงต่อเนื่อง อัตราครองเตียงลดลง เริ่มเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นในการเดินหน้าประเทศ จากความร่วมมือของทุกคนช่วยให้สถานการณ์ระบาดในประเทศอยู่ในระดับน่าพอใจ และมีสถานการณ์ดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือทุกคนเฝ้าระวังตัวเองอย่างเคร่งครัด ตามมาตรการ Universal Preventation สำหรับผู้เสี่ยงสูง ยึดหลัก 5 + 5 กักตัวที่บ้าน 5 วัน ตรวจ ATK วันที่ 5 หลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยครั้งสุดท้าย หรือหากมีอาการให้ตรวจ ATK ทันที และสังเกตอาการตัวเองต่อเนื่องอีก 5 วัน โดยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ออกนอกพื้นที่ได้ แต่เฝ้าระวังตนเอง ไม่อยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ทั้งนี้ ทุกคนต้องร่วมมือเฝ้าระวังและป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมเข้าสู่โรคประจำถิ่นต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี