ติดเชื้อรายวันรวมATK12,186คน
‘อีสาน’รั้งแชมป์ยอดรวมผู้เสียชีวิต
สธ.การันตีวัคซีนผลข้างเคียงน้อย
ย้ำพ่อแม่พาเด็ก5-11ปีฉีดสร้างภูมิ
บิ๊กตู่ย้ำต้องดูแลสุขภาพช่วงฤดูฝน
โควิดไทยลดลงต่อเนื่อง ติดเชื้อใหม่ 6,094 รายผลบวกจากการตรวจ ATK 6,092 คนรวมมียอดป่วยเพิ่มขึ้น 12,186 คน เสียชีวิต 51 ศพ แต่“กทม.”ยังครองแชมป์ยอดยังสูงกว่า 2 พันคน โดย“ลาดพร้าว”มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดกว่า 200 คน ขณะที่ “สุรินทร์” แซงบุรีรัมย์ขึ้นที่ 2 ภาพรวมไทยติดเชื้ออันดับ24 โลก
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) รายงานภาพรวม
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ของไทยประจำวัน ที่ยังคงลดลงอย่างชัดเจนทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิต
ติดเชื้อรวมATK12,186ราย
ศบค.ระบุว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,094 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 6,087 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 2 ราย จากเรือนจำและที่ต้องขัง 5 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,373,846 ราย ขณะที่ยอดการตรวจ ATK ตามข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบติดเชื้อเข้าข่าย หรือ ATK เป็นบวกอีก 6,092 ราย ส่วนยอดผลบวกสะสมอยู่ที่ 1,675,933 ราย ซึ่งจำนวนนี้ไม่รวมในการรายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ ซึ่งยืนยันผลด้วย RT-PCR รวมมีผู้ติดเชื้อทั้งสองระบบอยู่ที่ 12,186 ราย
ตาย51-รักษาหาย8,601พันคน
ส่วนผู้ที่รักษาหายมี 8,601 ราย โดยผู้ป่วยหายสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,273,599 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตมี 51 ราย เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 29,472 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 70,775 ราย แบ่งเป็น อยู่ในโรงพยาบาล 25,527 ราย และโรงพยาบาลสนามอื่นๆ 45,248 ราย ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิต 51 ราย อยู่ในกรุงเทพมหานคร 3 ราย ขอนแก่น 4 ราย อุดรธานี 3 ราย ศรีสะเกษ 3 ราย ยโสธร 3 ราย อุบลราชธานี 2 ราย กาฬสินธุ์ 2 ราย มหาสารคาม 2 ราย นครราชสีมา 1 ราย เลย 1 ราย ร้อยเอ็ด 1 ราย เชียงใหม่ 3 ราย กำแพงเพชร 3 ราย สุโขทัย 2 ราย พิจิตร 1 ราย อุตรดิตถ์ 1 ราย พะเยา 1 ราย น่าน 1 ราย นครศรีธรรมราช 1 ราย ชุมพร 1 ราย ชลบุรี 1 ราย ลพบุรี 2 ราย อุทัยธานี 2 ราย สระบุรี 1 ราย สมุทรสงคราม 1 ราย ปราจีนบุรี 1 ราย และกาญจนบุรี 1 ราย จำแนกเป็นเพศเป็นชาย 34 ราย และหญิง 17 ราย แบ่งเป็นอายุ 60 ปีขึ้นไป 42 ราย ต่ำกว่า 60 ปีมีโรคเรื้อรัง 9 ราย และไม่มีผู้ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง
กทม.นำโด่ง2,125-สุรินทร์ที่2
ศบค.ยังรายงาน 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในประเทศ โดยอันดับ 1 ยังคงเป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2,125 ราย อันดับ 2 สุรินทร์ 275 ราย อันดับ 3 บุรีรัมย์ 201 ราย อันดับ 4สมุทรปราการ 172 ราย อันดับ 5 ขอนแก่น 167 ราย อันดับ 6 ชลบุรี 158 ราย อันดับ 7 อุบลราชธานี 147 ราย อันดับ 8 มหาสารคาม 139 ราย อันดับ 9 ร้อยเอ็ด 118 ราย และอันดับ 10 นครราชสีมา 99 ราย
เขตลาดพร้าวติดเชื้อมากที่สุด
นอกจากนี้ ศบค.ยังรายงาน 10 อันดับเขตในกทม.ที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ข้อมูลถึงวันที่ 14 พฤษภาคมประกอบด้วย 1. ลาดพร้าว 211 คน 2.วัฒนา 122 คน 3.หนองแขม 101 คน 4.ปทุมวัน 86 คน 5.พญาไท 76 คน 6.ราชเทวี 69 คน 7.บางแค 55 คน 8.จตุจักร 54 คน 9.สายไหม 50 คน 10. บางขุนเทียน 47 คน
ฉีดวัคซีนสะสม135.5ล้านโดส
ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีผู้ได้รับวัคซีนรวม 70,548 ราย สะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 135,590,107 โดส แบ่งเป็นเข็มที่หนึ่งเพิ่มขึ้น 7,344 ราย สะสม 56,515,295 ราย คิดเป็น 81.3% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองเพิ่มขึ้น 22,232 ราย สะสม 51,957,050 ราย คิดเป็น 74.7% ของจำนวนประชากร เข็มที่สามเพิ่มขึ้น 40,972 ราย สะสม 27,117,762 ราย คิดเป็น 39.0% ของจำนวนประชากร
ทั่วโลกสะสม520ล.-ไทยอันดับ24โลก
ส่วนภาพรวมการระบาดโควิด-19 ทั่วโลก ศบค.รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกสะสม 520,879,444 ราย รักษาหายแล้วรวมจำนวน 475,314,324 ราย และเสียชีวิตรวม 6,287,766 ราย โดยประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล ฝรั่งเศส และเยอรมนี ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก
พ่อแม่กลัวผลข้างเคียงไม่พาฉีดวัคซีน
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกันต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเปิดภาคเรียนแบบ On-Site ทุกชั้นเรียน เด็กควรได้รับวัคซีน เพื่อลดความเสี่ยงรับเชื้อ แต่จากผลสำรวจอนามัยโพล เรื่อง “ความมั่นใจของผู้ปกครองต่อการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี” ระหว่างวันที่ 22 เมษายน-11 พฤษภาคม 2565 พบว่า ขณะนี้เด็กอายุ 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว และจะฉีดให้ครบร้อยละ 54.1 และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ร้อยละ 28.7 โดยเหตุผลที่ทำให้กลุ่มผู้ปกครองไม่พาเด็กเข้าฉีดวัคซีนคือ กังวลว่าเด็กอาจมีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ร้อยละ 77.2 และไม่มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ร้อยละ 55.3 รวมทั้งยังกังวลว่าเด็กที่ไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัว อาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากวัคซีน ร้อยละ 37
“ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปีสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตในเด็กได้ รวมทั้งการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่โรงเรียน จึงขอให้ผู้ปกครองมั่นใจความปลอดภัยของการฉีดวัคซีน โดยการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนในเด็ก ควรให้เด็กกินอาหาร หากเด็กมีอาการป่วย มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ควรรักษาอาการให้หายเป็นปกติก่อน และสำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัวรุนแรง อาการยังไม่คงที่ ควรรับการประเมินอาการจากแพทย์ประจำตัว ก่อนฉีด อาการที่พบได้หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์คือ ปวด บวม แดง เฉพาะที่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เป็นไข้ ดังนั้น จึงต้องสังเกตอาการหลังฉีดอย่างน้อย 30 นาที ในสถานที่ฉีดวัคซีน ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองเมื่อกินยาลดไข้ และพักผ่อนให้เพียงพอ หลังฉีดวัคซีน 1 สัปดาห์” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นายกฯแนะพ่อแม่ดูแลเด็กช่วงหน้าฝน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แนะนำพ่อ-แม่ ผู้ปกครองใส่ใจสุขภาพ ดูแลเด็กเล็กลูกหลานวัยเรียน ช่วงหน้าฝนนี้เป็นพิเศษ ซึ่งโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็กช่วงหน้าฝนคือ ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โดยอาการจะมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล โดยมีวิธีป้องกันแบบเดียวกับโควิด-19 คือ การสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ใช้เจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งและเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย ควรสอนให้เด็กปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม ใส่ใจการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นปรุงสุก กินผักหรือผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงป่วยลง เสริมภูมิคุ้มกัน สร้างเกราะป้องกันโรคที่ดีให้กับเด็ก ก่อนเปิดเทอม
สูงวัยฉีดเข็ม3เข้ากล้ามกระตุ้นภูมิได้ดี
วันเดียวกัน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุ ผลวิจัยที่ศูนย์วิจัยคลินิก ศิริราช ร่วมกับทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี BIOTEC สวทช.พบวัคซีนเข็มกระตุ้นแบบฉีดเข้ากล้าม กับใต้ผิวหนัง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้ามา 2 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโอมิครอนได้ดีทั้งคู่ โดยกลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามจะได้ภูมิที่สูงกว่ากลุ่มใต้ผิวหนัง ประมาณ 3 เท่ากรณีฉีดกระตุ้นด้วย Moderna และ ประมาณ 1.5 เท่า กรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Pfizer โดยตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนจะสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่ใช้ โดย Moderna ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 5 เท่า (100 vs 20 mcg) ขณะที่ Pfizer ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 3 เท่า ผลข้างเคียงจากการฉีดใต้ผิวหนังดูเหมือนจะน้อยกว่าตามคาด ซึ่งทีมวิจัยสรุปว่า การฉีดใต้ผิวหนังโดยเฉพาะด้วย Moderna อาจเป็นทางเลือกให้พิจารณาในกรณีที่มีวัคซีนจำกัด และต้องการลดผลข้างเคียงจากวัคซีน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี