สธ.สั่งรร.ทั่วปท.เข้มมาตรการสกัดโควิด
รับมือเปิดเทอม
พบติดเชื้อในโรงเรียนใช้แผนเผชิญเหตุ
ย้ำไม่จำเป็นจะต้องปิดทั้งหมด
นายกฯพอใจสาธารณสุขไทย
สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ป่วยรวมATK8,683เสียชีวิต40
โควิดไทยขาลงชัดเจน ติดเชื้อในประเทศ 5,238 ราย ผลบวกจากการตรวจ ATK 3,445 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,683 ราย เสียชีวิต 40 ศพ ขณะที่6 จว.อีสานติดท็อปเทนตัวเลขติดเชื้อสูง สธ.ห่วงวันหยุดยาวก่อนเปิดเทอม 17 พ.ค.ย้ำพ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียนประเมินตัวเอง มีอาการให้ตรวจ ATK ทันทีก่อนเข้าระบบการเรียนการสอน ถ้าพบคนติดเชื้อในโรงเรียนให้ทำตามแผนเผชิญเหตุ ไม่ต้องปิดโรงเรียน นายกฯชื่นชมประสิทธิภาพแพทย์-ระบบสาธารณสุขไทยรักษาคนหายกลับบ้านได้มากกว่าผู้ติดเชื้อรายวัน
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) รายงานภาพรวมสถานการณ์ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตของไทยรายวัน ที่มีจำนวนลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตที่ต่ำกว่า 50 ราย เป็นวันแรก
ติดเชื้อรวมATKลดเหลือ8,683ราย
สำหรับประเทศไทย วันนี้พบผู้ติดเชื้อใหม่ 5,238 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 5,233 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 2 ราย จากเรือนจำและที่ต้องขัง 3 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,379,084 ราย ขณะที่ผลตรวจเป็นบวกจากการตรวจ ATK รายงานตามข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบติดเชื้อเข้าข่าย หรือ ATK เป็นบวกอีก 3,445 ราย ส่วนยอดผลบวกสะสมอยู่ที่ 1,679,378 ราย ซึ่งจำนวนนี้ไม่รวมในการรายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ซึ่งยืนยันผลด้วย RT-PCR.
รักษาหาย9,168ราย เสียชีวิต40ศพ
ส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายมี 9,168 ราย โดยผู้ป่วยหายสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,282,767 ราย เสียชีวิต 40 ราย โดยเสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 29,512 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 66,805 ราย แบ่งเป็นอยู่ในโรงพยาบาล 24,877 ราย และโรงพยาบาลสนามอื่นๆ 41,928 ราย โดยผู้เสียชีวิต 40 รายนั้น อยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย อุดรธานี 6 ราย ศรีสะเกษ 3 ราย อุบลราชธานี 2 ราย หนองคาย 2 ราย สกลนคร 2 ราย นครราชสีมา 1 ราย เลย 1 ราย หนองบัวลำภู 1 ราย สุรินทร์ 1 ราย เชียงใหม่ 2 ราย เชียงราย 1 ราย ลำพูน 1 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 2 ราย ชลบุรี 2 ราย ระยอง 1 ราย สระแก้ว 1 ราย นครนายก 1 ราย อุทัยธานี 1 ราย อ่างทอง 1 ราย กาญจนบุรี 1 ราย สุพรรณบุรี 1 ราย เพชรบุรี 1 ราย จำแนกเป็นเพศชาย 21 ราย และหญิง 19 ราย แบ่งเป็นอายุ 60 ปีขึ้นไป 30 ราย ต่ำกว่า 60 ปีมีโรคเรื้อรัง 9 ราย และผู้ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 1 ราย
กทม.-6จว.อีสานยังนำโด่ง
ศบค.ยังระบุ 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในประเทศ อันดับแรกยังคงเป็น กรุงเทพมหานคร 1,750 ราย 2.สุรินทร์ 282 ราย 3.บุรีรัมย์ 197 ราย 4.ขอนแก่น 172 ราย 5.ชลบุรี 142 ราย 6.อุบลราชธานี 139 ราย 7.ร้อยเอ็ด 120 ราย 8.สมุทรปราการ 119 ราย 9.นครราชสีมา 111 ราย และ 10.พระนครศรีอยุธยา 89 ราย
ฉีดวัคซีนสะสม135.6ล้านโดส
ความคืบหน้าการฉีดวัคซีน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีผู้ได้รับวัคซีนรวม 77,750 ราย สะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 135,671,274 โดส แบ่งเป็นเข็มที่หนึ่งเพิ่มขึ้น 6,735 ราย สะสม 56,524,179 ราย คิดเป็น 81.3% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองเพิ่มขึ้น 12,859 ราย สะสม 51,971,199 ราย คิดเป็น 74.7% ของจำนวนประชากร เข็มที่สามเพิ่มขึ้น 58,156 ราย สะสม 27,175,896 ราย คิดเป็น 39.1% ของจำนวนประชากร
ทั่วโลกสะสม521ล.คน-ไทยอันดับ24
ศบค.ยังรายงานสถาณการณ์ระบาดโควิด-19 ทั่วโลก พบมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสม 521,230,984 ราย รักษาหายแล้วรวม 491,824,498 ราย และเสียชีวิตรวม 6,288,426 ราย โดยประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล ฝรั่งเศส และเยอรมนี ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก
ย้ำประเมินความเสี่ยงก่อนเปิดเทอม
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีทิศทางลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงเกิดติดเชื้อจำนวนมากได้ โดยเฉพาะช่วงก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 วันที่ 17 พฤษภาคม ซึ่งมีวันหยุดติดต่อกัน 4 วัน ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงมีกิจกรรมการรวมตัวทั้งผู้ปกครองและนักเรียนก่อนเปิดเรียน หากไม่ได้ป้องกันตนเองเต็มที่ตามมาตรการ อาจทำให้มีการติดเชื้อและแพร่เชื้อระหว่างกันได้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากสายพันธุ์โอไมครอน ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการ และเมื่อเปิดภาคเรียนแบบออนไซต์ อาจเกิดแพร่เชื้อในโรงเรียนได้ ดังนั้น ก่อนกลับเข้าระบบการเรียนการสอนปกติ ขอให้ผู้ปกครอง นักเรียน ครู และบุคลากรการศึกษา ประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อน กรณีมีความเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ให้ตรวจ ATK ทันที หากผลตรวจเป็นบวกหรือติดเชื้อ จะได้เข้าระบบรักษา
ไม่บังคับตรวจATK-ยึดมาตรการ6:6:7
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังย้ำว่า ไม่มีมาตรการบังคับตรวจ ATK ก่อนเข้าเรียน และไม่ได้กำหนดให้ต้องตรวจเป็นประจำทุก 3-5 วัน หรือทุกสัปดาห์ แต่ขอให้ตรวจเมื่อมีความเสี่ยงหรือเมื่อมีอาการ ส่วนมาตรการป้องกันติดเชื้อ ให้ยึดตาม 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม และ 7 มาตรการเข้มของกรมอนามัย เบื้องต้นแนะนำให้ป้องกันตนเองตลอดเวลา โดยการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ตรวจคัดกรอง ลดความแออัด และทำความสะอาด รวมถึงเข้ารับวัคซีนให้ครบ โดยกลุ่มเด็กมัธยมศึกษา อายุ 12-17 ปี ควรรับเข็มกระตุ้น และกลุ่มเด็กประถมศึกษา อายุ 5-11 ปี ควรรับวัคซีนเข็มปกติให้ครบ จะช่วยลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต ทั้งนี้ หากพบผู้ติดเชื้อในโรงเรียนให้ปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งโรงเรียนเหมือนที่ผ่านมา
.ย้ำรร.ปฎิบัติตามแผนเผชิญเหตุ
ขณะที่นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าวย้ำสถานศึกษาทั่วประเทศให้ปฎิบัติตามแผนเผชิญเหตุกรณีพบผู้ติดเชื้อหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ไม่จำเป็นต้องปิดชั้นเรียนหรือโรงเรียน สำหรับโรงเรียนประจำ เน้นมาตรการ Sandbox Safety Zone in School (SSS) กรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากร เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เปิดเรียน On-site ปกติ ปฏิบัติตามมาตรการ UP (Universal Prevention) ประเมิน Thai Save Thai (TST) และเว้นระยะห่างของนักเรียนในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 1 เมตร กรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจัดการเรียนการสอนทำกิจกรรมใน Quarantine Zone ตามมาตรการ SSS 5 วัน และติดตามสังเกตอาการอีก 5 วัน กรณีผู้ได้รับวัคซีนโควิดครบตามคำแนะนำปัจจุบัน ไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกัน สำหรับการตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วย ATK ถ้ามีอาการให้ตรวจทันที ถ้าไม่มีอาการให้ตรวจคัดกรองครั้งแรกวันที่ 5 และตรวจครั้งสุดท้ายวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ กรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากรติดเชื้อ ให้แยกกักกันที่โรงเรียน (School Isolation) และพิจารณาร่วมกับหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ กรณีไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย จัดการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดกิจกรรมรวมกลุ่ม เน้นระบายอากาศ โดยปฏิบัติตาม UP-DMHTA เคร่งครัด ทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษา ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข และเรียนได้ตามปกติ
นร.ครูติดเชื้อไม่ต้องปิดรร.
นพ.สราวุฒิกล่าวต่อว่า สำหรับโรงเรียนไป-กลับ กรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากร เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เปิดเรียนในพื้นที่สถานศึกษา ตามปกติ ปฏิบัติตามมาตรการ UP (Universal Prevention) ประเมิน Thai Save Thai (TST) และเว้นระยะห่างของนักเรียนในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 1 เมตร กรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากร เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กรณีไม่ได้รับวัคซีนทั้งมีอาการและไม่มีอาการ แนะนำให้กักกันตัวเป็นเวลา 5 วัน และติดตามเฝ้าระวังอีก 5 วัน ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ได้รับวัคซีนครบ ไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกัน พิจารณาให้ไปเรียนได้ สำหรับการตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วย ATK ถ้ามีอาการให้ตรวจทันที ถ้าไม่มีอาการ ให้ตรวจคัดกรองครั้งแรกวันที่ 5 และตรวจครั้งสุดท้ายวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ กรณีพบนักเรียน ครู หรือบุคลากรติดเชื้อ ให้แยกกักกันที่บ้าน (Home Isolation) หรือพิจารณาจัดทำ School Isolation จัดรูปแบบการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มไม่มีอาการ ทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษา และเปิดเรียนตามปกติ โดยเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและผู้ติดเชื้อ
นายกฯชื่นชมแพทย์บุคลากรสธ.
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชื่นชมการสาธารณสุขไทย พร้อมขอบคุณทีมแพทย์และบุคลากรแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดจนหายป่วยสามารถกลับบ้านได้จำนวนมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน จำนวนผู้ป่วยในระบบลดน้อยลง นายกฯยังย้ำความจำเป็นที่ทุกฝ่ายยังต้องยึดการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัติดเชื้อโควิดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) และมาตรการ COVID Free Setting ต่อเนื่อง พร้อมเชิญชวนประชาชน และผู้ปกครอง เร่งนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีนทั้งเข็มหลักและเข็มกระตุ้น ยืนยันว่าประสิทธิภาพของวัคซีนช่วยลดความรุนแรงเมื่อได้รับเชื้อ รวมทั้งยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้บุตรหลานด้วย
รบ.ปลื้มหยุดยาวนทท.คึกคัก
นายธนกรกล่าวต่อว่า นายกฯยังติดตามความคืบหน้าด้านการท่องเที่ยว ในช่วงที่การระบาดโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศที่ดำเนินไปอย่างมีขั้นตอนสอดคล้องสถานการณ์ หลังไทยประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวลงทะเบียนไทยแลนด์พาสกว่า 3 แสนคน เดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยวันละ 1 หมื่นคน ทั้งนี้ สถานประกอบการของไทยที่กลับมาเปิดให้บริการ มีการ Up Skill และ Re Skill ทราบถึงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิด เช่น ใส่ใจสุขภาพ มาตรการความปลอดภัย การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ไปจนถึงด้านเทคโนโลยีที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อปรับตัว และเดินไปสู่ Next normal ที่เป็นขั้นกว่าของการใช้ชีวิตคู่โควิดต่อไป นอกจากนี้พบว่า ลักษณะการท่องเที่ยวตอนนี้เปลี่ยนไป จากเป็นกลุ่มใหญ่เริ่มกลุ่มเล็ก และส่วนตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนจ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมและจุดหมายปลายท่องเที่ยว ช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 13-16 พฤษภาคม มีห้องพัก 70,000 ห้อง คิดเป็น 70% ของห้องพักที่เปิดให้บริการ อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 44.46 คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นสูงถึง 60% เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่นิยมจองแบบ last minute และบางแห่งมียอดจองสูง 60-80% โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ จำนวนผู้เดินทางขาเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ยวันละประมาณ 4,000 คนจาก 27 เที่ยวบิน เสริมกับตลาดคนไทยที่เดินทางเพิ่มขึ้นเช่นกัน สายการบินภายในประเทศขาเข้าในประเทศรวม 7 สายการบิน มีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าเฉลี่ยวันละ 100 เที่ยวบิน อัตราการขนส่งผู้โดยสาร (load factor) อยู่ที่ประมาณ 60-100% จำนวนผู้โดยสารขาเข้าเฉลี่ย 15,000 คนต่อวัน และเที่ยวบินระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 27 เที่ยวบิน ผู้โดยสารขาเข้าเฉลี่ยวันละ 4,000 คน จำนวนผู้เยี่ยมเยือน 150,596 คน คาดว่าก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ย 1,826.19 ล้านบาท
นายกฯสั่งเข้มดูแลความปลอดภัยนทท.
“นายกฯกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และขอให้คนไทยช่วยสอดส่องดูแลรักษาภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ดี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกิดรายได้ให้ประเทศไทยต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี