‘สหพันธ์แผงลอย’ ยื่น 6 ข้อถึงว่าที่ผู้ว่าฯกทม. ย้ำการค้าริมทางสำคัญต่อศก.ฐานราก-ที่พึ่งคนรายได้น้อย
18 พ.ค.2565 ที่ รร.เอเชีย ราชเทวี กรุงเทพฯ สหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร จัดแถลงข่าวยื่นข้อเรียกร้องถึงผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 พ.ค. 2565 นี้ โดยมีการอ่านแถลงการณ์ เนื้อหาระบุว่า การค้าขายบนพื้นที่สาธารณะริมทางโดยเฉพาะอาหารริมทาง หรือ สตรีทฟู๊ด นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครมายาวนาน สามารถตอบสนองความต้องการซื้ออาหารราคาประหยัด หาซื้อได้สะดวก ช่วยประหยัดเวลาที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละวันของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานของเมือง ที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการจราจรที่ติดขัดในเมืองหลวงแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน การค้าขายของหาบเร่แผงลอยที่มีความหลากหลายยังถูกยกให้เป็นเสน่ห์ของเมือง เป็นอัตลักษณ์ของกรุงเทพฯ ซึ่งหาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ ทั้งสินค้าที่หลากหลาย อัธยาศัยของผู้ค้า และลักษณะเฉพาะของหาบเร่แผงลอยในย่านต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติขอมาสัมผัสสักครั้ง การค้าริมทางเท้ายังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย คนขับรถตุ๊กๆ และคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ช่วยขนส่งสินค้า ตลอดจนผู้ขายและผู้ผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ มีอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว
นักการเมือง และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็เคยประกาศว่าเติบโตมาจากครอบครัวที่เป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอย แต่ขณะเดียวกันการมีผู้ค้าหาบเร่แผงลอยจำนวนมาก โดยขาดการจัดการที่เหมาะสมและปัญหาธรรมภิบาล ก็นำมาซึ่งปัญหาต่างๆ เช่น ความไม่เป็นระเบียบ สกปรก และกีดขวางการสัญจรไปมาของคนเดินเท้า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้จัดระเบียบโดยยกเลิกจุดผ่อนผัน ถึง 683 จุดจาก 773 จุด สร้างความยากลำบากในการดำรงชีวิตแก่ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่มีมากกว่า 200,000 คนในกรุงเทพมหานคร รวมถึงผู้ประกอบอาชีพที่มีรายได้ยึดโยงอยู่กับหาบเร่แผงลอย และผู้บริโภค ผู้คนเหล่านี้เป็นตัวจักรสำคัญของระบบเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจมหภาคอย่างแยกไม่ออก
ความสำคัญของหาบเร่แผงลอยทำให้ข้อดีและข้อเสียของการค้าบนพื้นที่สาธารณะได้รับการหยิบยกเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนและวิวาทะกันอย่างมากในสังคม นโยบายการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยที่โปร่งใสและสร้างความสมดุล กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทุกคนพูดถึงและถกแถลงให้คนกรุงเทพฯ เชื่อมั่นว่า หากได้รับความไว้วางใจจากชาวกรุงเทพมหานคร จะดำเนินการพัฒนาให้หาบเร่แผงลอยดำรงอยู่ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้เมืองหลวงก้าวสู่ความเป็นเมืองแห่งอนาคต
กรุงเทพมหานครสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบอันเนื่องมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิดได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีการจัดการที่ดี สะอาด ปลอดภัย และสามารถอยู่ร่วมกับคนเดินเท้าได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย ในโอกาสการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 นี้ สหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพฯมหานคร ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ค้าหาบเร่แผงลอยหลายพื้นที่ จึงใคร่ขอแถลงจุดยืนที่จะสนับสนุน (ว่าที่) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มีนโยบายพัฒนาการค้าหาบเร่แผงลอยดังนี้
1.จัดตั้งคณะกรรมการหาบเร่แผงลอยในระดับพื้นที่/ย่าน/ชุมชน ที่มีตัวแทนผู้ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่/ย่าน/ชุมชน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ที่จะทำหน้าที่รับขึ้นทะเบียนผู้ค้า รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของคนในพื้นที่ เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์การทำการค้า วางแผน จัดการ กำกับดูแล ติดตาม และประเมินผลการค้าในพื้นที่สาธารณะ
2.สนับสนุนให้เปิดพื้นที่ทำการค้าแบบชั่วคราว จนกว่าจะมีกฎเกณฑ์การทำการค้าที่กำหนดจาก คณะกรรมการหาบเร่แผงลอยในระดับพื้นที่/ย่าน/ชุมชน โดยพิจารณาหาพื้นที่ทำการค้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำการค้า รวมทั้งจัดหาพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ถนนสายรอง มาพิจารณาเปิดเป็นจุดผ่อนผันให้มีการทำการค้าเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในเขต ส่งเสริมอัตลักษณ์ของย่าน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และช่วยเหลือผู้ค้าและผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการระบาดของโรคโควิด-19
3.เปิดโอกาสให้ผู้ค้าเก่าที่ยังขายอยู่ในจุดผ่อนผัน และ/หรือเคยขายอยู่ในจุดผ่อนผันที่ยังขายอยู่หรือที่ถูกยกเลิกไปได้รับโอกาสการพิจารณาให้กลับมาขายก่อน และเปิดโอกาสให้ผู้ค้าใหม่ที่มีคุณสมบัติเข้ามาขายต่อไป 4.สนับสนุนระบบสาธารณูปโภค ได้แก่ น้ำประปา ไฟฟ้า ระบบการกำจัดขยะและของเสีย ห้องน้ำสาธารณะ สำหรับผู้ค้าและผู้บริโภค
5.ออกแบบระบบการจัดเก็บรายได้ ค่าบริการสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายในการค้า เพื่อนำส่งเงินรายได้บางส่วนแก่สำนักงานกรุงเทพมหานคร และนำรายได้บางส่วนไปจัดสรรเพื่อประโยชน์ในการทำการค้า สวัสดิการ กองทุนพัฒนาผู้ค้า หรือนำรายได้บางส่วนไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่อพื้นที่/ย่าน/ชุมชน และ 6.ปรับปรุง แก้ไข กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการทำการค้าให้เกิดประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายทั้งผู้ใช้ทางเท้า ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และประชาชนในกรุงเทพมหานคร
ภายในงานยังมีการเปิดให้ตัวแทนผู้ค้าในพื้นที่ต่างๆ บอกเล่าปัญหาและผลกระทบ โดย นายปรีชา ไทยสงเคราะห์ ประธานสหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ค้าในย่านบางขุนเทียน กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องการค้าหาบเร่แผงลอยของแต่ละเขต ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วน ตนมองว่าไม่สมดุล เพราะมีสัดส่วนผู้ค้าน้อยเกินไป เช่น ในเขตบางขุนเทียน มีจุดผ่อนผันให้ทำการค้าได้หลายจุด แต่มีตนเป็นตัวแทนผู้ค้าในคณะกรรมการเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงอยากให้เพิ่มสัดส่วนผู้ค้ามากขึ้น
“เราอยากให้ทุกเขตทุกจุด ทุกพื้นที่ที่ทำการค้าของแต่ละเขต มีคณะกรรมการโดยเฉพาะที่เป็นผู้ค้า เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินปัญหา ในการเรียกร้องกฎระเบียบต่างๆ ในการช่วยเหลือผู้ค้าด้วยกัน ในการให้คำแนะนำ ให้ความรู้ในระดับเขต ที่แต่ละจุดควรตั้งตัวแทนของผู้ค้าขึ้นมา เพื่อเข้าไปมีความสมดุลในระดับเขต ที่ผ่านมาการตั้งคณะกรรมการผู้ค้าที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบต่างๆ จะเป็นการตั้งของเขตเสียมากกว่า สัดส่วนของผู้ค้าไม่มีเลย” ปธ.สหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร กล่าว
นางเขมิสา โคกทับทิม ประธานกลุ่มผู้ค้าตลาดสะพานพุทธ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่มีการยกเลิกพื้นที่ค้าขายบริเวณสะพานพุทธ ในปี 2559 ผู้ค้าตระเวนไปหาพื้นที่ค้าขายในหลายพื้นที่ บางพื้นที่ขายได้ไม่นานก็ถูกไล่อีก ต่อมาได้ไปเช่าพื้นที่เอกชน แต่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แม้จะเป็นช่วงที่ตลาดต้องปิดเป็นเวลา 3 เดือนจากมาตรการล็อกดาวน์ ผู้ค้าก็ยังต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ในราคาเต็ม และเมื่อตลาดกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ผู้ค้ากลับบังคับทำสัญญาเช่าฉบับใหม่โดยขึ้นค่าเช่า ซึ่งไม่สามารถจ่ายได้ไหวจึงต้องออกจากพื้นที่ ทำให้ต้องไปขายตลาดริมทางรถไฟ แต่ก็ขายได้ไม่ดีนัก เพราะไม่ค่อยมีคนมาเดินในพื้นที่
“อยากขอบอกกับทาง กทม. เราฝากเรื่องนี้ถึงผู้ว่าฯ คนใหม่ให้ช่วยพิจารณา อยากจะขอกลับคืนพื้นที่ที่ตลาดสะพานพุทธเหมือนเดิม ให้เราขอกลับเข้าไปขายชั่วคราวก่อนก็ได้ จนกว่าจะมีพื้นที่ใหม่ได้มารองรับพวกเรา อยากจะขอบอกผู้ว่าฯ คนใหม่ ให้พวกเรามีที่ทำกิน ขอพื้นที่ทำกินให้เราหน่อย เราไม่อยากเอาเงินรัฐเงินหลวง เดือนละ 5,000 หรือรอบละ 5,000 รอบละ 10,000 เราอยากจะมีพื้นที่ทำกินของเรา เราอยากทำมาหากินเองโดยที่ไม่ต้องเบียดเบียนรัฐเบียดเบียนหลวง” ปธ.กลุ่มผู้ค้าตลาดสะพานพุทธ กล่าว
นายประพันธ์ ศรีปัญญา รองประธานผู้ค้าตลาดสะพานพุทธ กล่าวว่า ตนมีอาชีพรับวาดภาพเหมือน-ภาพล้อ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นอีกจุดขายสำคัญของตลาดสะพานพุทธ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวสมัยที่ยังมีการค้าขายอยู่ แต่เมื่อถูกห้ามทำการค้า ตนก็ต้องไปเช่าพื้นที่เอกชน ซึ่งก็ทำให้รายได้ลดลง เช่น ตลาดแห่งหนึ่งคิดค่าเช่า 350 บาทต่อวัน แต่ตนมีรายได้ 500 บาทต่อวัน ดังนั้นเมื่อหักค่าเช่าแล้วก็เหลือกลับบ้านเพียง 150 บาทต่อวันเท่านั้น
“ในเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ กลุ่มผู้ค้าตัวเล็กๆ พวกนี้ เป็นอีกกลุ่มเล็กๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐที่จะมาช่วยเยียวยาอะไรต่างๆ ทุกคนมีหัวใจในความเป็นพ่อค้า-แม่ค้า ก็พร้อมที่จะสู้ เพียงแต่เขาไม่มีพื้นที่ที่จะค้าขาย แน่นอนพวกเราคิดและพูดกันตลอดว่าถ้าเราได้รับโอกาสนั้น เราจะปรับปรุงตัวเองทุกเรื่องทุกอย่างที่มันเคยเป็น ที่พูดถึงการค้าขายแล้วมันเกะกะ หรือทำให้ทางเท้าไม่สะดวกในการเดิน พวกเราพร้อมปรับตัว พร้อมกลับมาค้าขายโดยให้อยู่ร่วมกับคนที่ใช้ทางเท้าให้สะดวกด้วย” นายประพันธ์ กล่าว
น.ส.ยุภาวดี ต้อนโสกรี เจ้าของร้าน “สุดแซ่บ ยำมะม่วงปูม้าสะพานพุทธ” เปิดเผยว่า ตนเคยทำงานประจำในองค์กร แต่ต่อมาก็ออกมาเป็นแม่ค้าเต็มตัวเพราะชอบงานค้าขาย ในช่วงที่ตั้งร้านอยู่ย่านสะพานพุทธ ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากลูกค้ามาก แต่เมื่อย่านสะพานพุทธถูกห้ามทำการค้าขายอีกก็เดินต่อไม่ได้ ทั้งนี้ ตนต้องการให้ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ออกแบบการจัดเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมของผู้ค้าหาบเร่แผงลอยให้ชัดเจน
“เราสามารถเอารายได้ที่เขาจัดเก็บจากเรา ไปพัฒนาในพื้นที่ต่างๆ ที่เราทำการค้าขาย ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าได้ขายที่ตลาดสะพานพุทธ เราก็สามารถมีข้อตกลงร่วมกับ กทม. แล้วสามารถทำให้แต่ละพื้นที่เป็นจุดแลนด์มาร์ค จุดท่องเที่ยว อย่างตลาดสะพานพุทธ สามารถเดินเชื่อมต่อไปท่องเที่ยวที่ปากคลองตลาด ก็คือตลาดดอกไม้ ต่างชาติเขาจะเรียก Flower Market” น.ส.ยุภาวดี กล่าว
น.ส.ยุภาวดี กล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อกังวลเรื่องความสะอาดของอาหาร โดยเฉพาะจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เรื่องนี้ถูกให้ความสำคัญมากขึ้น สำหรับตนนั้นมีโอกาสได้ไปเรียนรู้เรื่องอาหารไทยเพิ่มเติมจากทางมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ซึ่งก็ได้นำความรู้นั้นกลับมาแนะนำผู้ค้ารายอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ทำให้อาหารริมทาง หรือสตรีทฟู๊ด ต้องมีมาตรฐานสูงขึ้น ผู้ค้าก็ต้องศึกษากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบันผู้ค้าสตรีทฟู้ด สามารถนำร้านของตนเข้าสู่ระบบมาตรฐานแบบเดียวกับร้านอาหารได้
นายณัฎฐ์ดนัย กุลธัชยศอนันต์ รองประธานสหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ค้าตลาดกลางคืนย่านสีลม กล่าวว่า หาบเร่แผงลอยช่วยลดค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อย เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้ค้ายังมีส่วนร่วมในการช่วยป้องกันปัญหาอาชญากรรม เปรียบเสมือนเป็นกล้องวงจรปิดในพื้นที่
“ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยสามารถช่วยจับคนร้ายได้ อย่างสีลม เขตบางรัก สน.บางรัก ผู้ค้าช่วยกันจับคนต่างด้าวล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว อันนี้เราเคยได้รับคำชื่นชมจากสำนักงานเขต และ สน.บางรัก ว่าเราช่วยกันจับผู้ร้ายได้ อยากให้รักษาความดีแบบนี้ต่อไป” นายณัฎฐ์ดนัย ระบุ
น.ส.เรณู เดวีเลาะ ประธานเครือข่ายหาบเร่แผงลอยหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง กล่าวว่า ผู้ค้าในชุมชนหมู่บ้านนักกีฬา มีพื้นที่ค้าขายตั้งอยู่กลางหมู่บ้านและมีการจัดตั้งสหกรณ์ของผู้ค้าขึ้นด้วย โดยเป็นพื้นที่ของการเคหะแห่งชาติ ทำการค้ากันมาแล้วเกือบ 15 ปี ซึ่งผู้ค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทำงานกับชุมชน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ค้าอยากได้รับการสนับสนุนจาก กทม. คือการลอกท่อ-ลอกคลองเป็นระยะๆ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วม เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีฝนตกหนักก็มักเกิดน้ำท่วมตลาดและหมู่บ้านบ่อยครั้ง รวมถึงต้องการสาธารณูปโภคต่างๆ สำหรับตลาดด้วย
“พวกเราส่วนใหญ่ขายในรอบเย็นถึงกลางคืน เรายังไม่มีไฟฟ้าของภาครัฐ เราต้องไปขอต่อตามร้านค้าต่างๆ ซึ่งบางทีไฟของเขาก็เต็มไม่สามารถให้พวกเราได้ ตรงนี้เรายังคงเป็นอุปสรรคอยู่ น้ำซึ่งเราต้องการเอามาล้างสิ่งของเพื่อที่จะทำความสะอาด เรายังไม่มีห้องน้ำ เราก็อยากให้ภาครัฐสนับสนุนห้องน้ำสะอาด เพื่อที่จะสะดวกกับผู้มาซื้อของและผู้ค้าด้วย เรายังขาดถังดักไขมัน ที่ซักล้าง” น.ส.เรณู กล่าว
ว่าที่ ร.ต.จิตศักดิ์ แซ่ตั้ง ตัวแทนผู้ค้าย่านราษฎร์บูรณะ ซึ่เงป็นผู้ดำเนินรายการในครั้งนี้ กล่าวว่า อาหารริมทางหรือสตรีทฟู๊ด ซึ่งเป็นการค้าขายบนพื้นที่สาธารณะ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของ กทม. ทำให้ผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ใช้แรงงานของเมือง ได้เข้าถึงอาหารราคาถูก สะดวก และมีรสชาติถูกปากคนไทย อีกด้านหนึ่ง การค้าขายหาบเร่แผงลอยที่มีความหลากหลาย ยังถูกยกเป็นอัตลักษณ์และเสน่ห์ของเมือง
ทั้งนี้ หากผู้ค้า 1 คน ขายของชิ้นละ 40 บาท วันหนึ่งขายได้ 50 คน เงินหมุนเวียนของร้านจะประมาณ 2,000 บาท แล้ววันหนึ่งถ้าคูณกับ 2 แสนรายใน กทม. จะเท่ากับ 400 ล้านบาท แล้วปีหนึ่งเงินหมุนเวียนที่หายไปจากระบบประมาณ 1.46 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่การยกเลิกพื้นที่ค้าขายไปเป็นจำนวนมาก จะส่งผลกระทบกับคนรายได้น้อย หรือแม้แต่คนรายได้มากก็ตาม อนึ่ง ตลอด 5 ปีของการถูกยกเลิกพื้นที่ค้าขาย มีผู้ค้าบางรายเครียดจนตรอมใจตาย หรือตายเพราะอาการป่วยเรื้อรังกำเริบ จากการทำงานหนักเพราะต้องวิ่งรอกขายหลายพื้นที่มาแล้ว
“ผู้มีอำนาจ หรือผู้ว่าฯ คนที่ผ่านมา อาจกลัวว่าถ้าเกิดแก้ปัญหาให้ผู้ค้าแล้ว อาจถูกคนอีกกลุ่มหนึ่ง อาจเป็นคนชั้นกลางที่ไม่ได้ลงมาใช้พื้นที่ หรือใช้น้อย อาจจะถูกทางนั้นตำหนิ ก็เข้าใจได้ แต่อยากจะให้มองพวกเราไม่ใช่เป็นปัญหาของสังคม อยากจะให้คิดถึงว่าเราไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เราชอบเดินสตรีทฟู๊ดไหมตอนที่เราไปเที่ยว หรือถนนคนเดิน เราก็เดินและเราก็ช็อปปิ้ง มีบ้าง ผมคนหนึ่ง พอไปต่างจังหวัดก็ชอบไปเดิน ก็อยากให้มองว่าถ้าจะจัดการให้ดี มีวันหยุด ทำความสะอาด แบ่งพื้นที่จัดสรรให้ดี มันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นโอกาสของ กทม. ในการจัดเก็บรายได้ ทำให้เป็นระเบียบ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติได้ด้วย” ว่าที่ ร.ต.จิตศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี