ปลดล็อกผ่อนคลายแต่ต้องคุมเข้ม
‘บิ๊กตู่’กำชับทุกฝ่าย
เน้นป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัด
ไทยป่วยรวมATK12,014ดับ37
WHOถกฉุกเฉินรับมือ‘ฝีดาษลิง’
“นายกฯ” กำชับแม้ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว เริ่ม 1 มิถุนายนนี้ แต่ทุกฝ่ายยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ด้านธุรกิจคนกลางคืนป่าตอง-เกาะสมุย ระรื่นพร้อมจัดเต็มบริการลูกค้า เต็มสูบ “WHO” ประชุมฉุกเฉิน รับมือไวรัส “ฝีดาษลิง” ระบาดใหญ่ในยุโรป ป่วยพุ่งกว่า 100 ราย
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด เป็นผลให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง ทำให้รัฐบาลสามารถพิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดเรียนออนไซต์ ให้นักเรียนได้กลับมาเรียนได้อย่างปกติ ล่าสุด ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการให้เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข นายกรัฐมนตรี ได้กำชับ ผู้ประกอบการผับ บาร์ ให้จัดเตรียมสถานที่ให้สะอาด พร้อมให้บริการอย่างปลอด ทั้งนี้ แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แล้ว แต่ก็ขอให้ทุกคนยังคงปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป
สถานบันเทิงหาดป่าตองพร้อมเปิด
หลังจาก ศบค.ไฟเขียว 1 มิถุนายนนี้ เปิดผับ บาร์ คาราโอเกะ ถึงเวลา 24.00 น. ที่ จ.ภูเก็ต ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง ระบุว่า การเปิดบริการต่างๆ ส่งผลดีต่อภาพรวมการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อน ผ่อนคลาย และได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งมาตรการที่ทาง ศบค.กำหนดให้มีการตรวจ ATK และฉีดวัคซีนในพนักงานบริการ เพื่อคัดกรองและป้องกันเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ ขึ้นมานั้น เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนจะเคร่งครัดและปฏิบัติตาม โดยผับ บาร์ คาราโอเกะ ในพื้นที่ป่าตอง มีมากถึง 200 ร้าน จะเปิดบริการเต็มรูปแบบ 100% และแม้ว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่จะทำให้นักท่องเที่ยวหันมาเที่ยวภูเก็ตมากขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านบาท/คืน
ไทยป่วยรวมATK12,014ราย
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ประจำวันวันที่ 21 พ.ค.2565 พบผู้ป่วยรายใหม่ 5,377 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อในประเทศ 5,361 ราย เกิดจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 5,354 ราย เกิดจากการค้นหาเชิงรุกและพบการติดเชื้อในชุมชน 7 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ 14 ราย อีก 2 รายเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมผู้ป่วยสะสม 4,406,755 ราย โดยผู้ติดเชื้อ 2 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นเข้ามาแบบ Free to go
ขณะที่ผู้ป่วยเข้าข่ายจากการตรวจ ATK วันนี้อยู่ที่ 6,637 ราย ทำให้ไทยมีผู้ติดเชื้อรวม 12,014 ราย ยอดหายป่วยเพิ่ม 5,775 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 58,475 ราย โดยในจำนวนนี้มีอาการหนัก 1,018 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 493 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 37 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 29,715 ราย
เสียชีวิต37รายส่วนใหญ่ไม่ได้เข็มกระตุ้น
ด้านผู้เสียชีวิต 37 ราย มาจาก กทม. 4 ราย ปริมณฑล 2 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 ราย ภาคเหนือ 3 ราย ภาคใต้ 4 ราย และภาคกลาง 12 ราย แบ่งเป็นชาย 23 ราย หญิง 14 ราย เป็นกลุ่ม 608 คิดเป็น 100% จำแนกเป็น ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี 31 ราย คิดเป็น 84% ป่วยเรื้อรัง 6 ราย คิดเป็น 16% ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 30 ราย
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด ตามลำดับ ได้แก่ กทม. 1,898 ราย สุรินทร์ 164 ราย บุรีรัมย์ 159 ราย ขอนแก่น 152 ราย สมุทรปราการ 117 ราย อุบลราชธานี 106 ราย ชลบุรี 105 ราย กาฬสินธุ์ 105 ราย ร้อยเอ็ด 95 ราย นครศรีธรรมราช 89 ราย
ขณะที่ การกระจายวัคซีนในประเทศ เมื่อวันที่ พบผู้ที่ได้รับผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มเติม จำนวน 22,199 ราย ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 82,396 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 97,153 ราย รวมสะสมผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 136,265,374 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 56,585,202 ราย คิดเป็น 81.4% ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 52,191,352 ราย คิดเป็น 75.0% และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 27,488,820 ราย คิดเป็น 39.5%
ทั่วโลกพบผู้ป่วยสะสม525.86ล้านราย
ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 759,996 ราย รวม 526,446,054 ราย อาการหนัก 38,259 ราย หายป่วย 496,175,540 ราย เสียชีวิต 6,298,817 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ติดเชื้อใหม่ 98,665 ราย สะสม 84,935,262 ราย ตายเพิ่ม 244 ราย สะสม 1,028,741 ราย อินเดีย ติดเชื้อใหม่ 2,510 ราย สะสม 43,134,332 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สะสม 524,323 ราย บราซิล ติดเชื้อใหม่ 10,187 ราย สะสม 30,762,413 ราย ตายเพิ่ม 104 ราย สะสม 665,595 ราย ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก สำหรับเกาหลีเหนือล่าสุดพบป่วยใหม่กว่า2แสนราย
WHOประชุมฉุกเฉิน”ฝีดาษลิง”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือมาตรการรับมือโรคฝีดาษลิง หลังจากพบว่าในฝั่งยุโรปพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวกว่า 100 คนแล้ว
ทั้งนี้ มีการรายงานพบผู้ป่วย อาทิอย่างน้อย 9 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน และสหราชอาณาจักร ส่วนที่ สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย ก็เริ่มพบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับโรคฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบในแถบแอฟริกากลางและตะวันตก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดหัว และมีผื่นขึ้นตามลำตัว โดยเริ่มจากบริเวณใบหน้า ก่อนจะกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ที่น่ากังวลคือ การระบาดครั้งนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่ยุโรปเคยเผชิญมา โดยปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง แต่มีข้อมูลวัคซีนที่ใช้ต่อต้านโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ ให้ผลในการป้องกันฝีดาษลิงได้สูงสุด 85%
ขณะที่ WHO ตั้งข้อสังเกตว่า การระบาดของฝีดาษลิงครั้งนี้มีความผิดปกติอยู่ 3 ประการคือ 1) ผู้ป่วยเกือบทุกรายไม่มีประวัติเดินทางไปยังพื้นที่ซึ่งมีการระบาดของฝีดาษลิง 2) ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ชายรักชาย” ซึ่งเมื่อแสดงอาการป่วยจึงไปพบหมอที่คลินิกรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ 3) การพบผู้ติดเชื้อในกว่า 10 ประเทศแสดงให้เห็นว่าโรคมีการแพร่กระจายมาสักระยะหนึ่งแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี