ตำรวจ PCT-สตม.ทลายแก๊งจีนไต้หวัน เช่าตึกแถวย่านประเวศหลอกตุ๋นเหยื่อลงทุน‘คริปโต’ เงินดิจิทัล เหยื่อกว่า 500 ราย
31 พฤษภาคม 2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce , พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.PCT , พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. รอง หน.ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งจีนไต้หวัน หลอกลงทุนคริปโตเคอเรนซี ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ ผู้เสียหายชาวจีน และจีนไต้หวันกว่า 500 ราย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้เร่งปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน รวมทั้งกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาแฝงตัวก่ออาชญากรรมในประเทศไทย โดยคดีนี้ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT นำโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 ร่วมกับ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. ตรวจพบชาวจีนไต้หวันกลุ่มหนึ่งมีพฤติการณ์น่าสงสัย เนื่องจากเข้ามาด้วยวีซ่าทำงานในมูลนิธิการกุศล แต่กลับจะเดินทางไปเที่ยวเกาะสมุย จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่าในกลุ่มคนดังกล่าวมีบุคคลที่มีหมายจับจากต่างประเทศ 2 คน ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนผ่านโทรศัพท์และระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต”
ชุดสืบสวนเฝ้าติดตามจนทราบว่าคนกลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ตึกแถวในเขตประเวศ กรุงเทพฯ โดยจะเก็บตัวอยู่แต่ภายในตึกทั้งวันทั้งคืนไม่ออกไปไหนเป็นที่น่าสงสัย ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ได้นำหมายค้นศาลอาญาพระโขนง เข้าตรวจค้นพบตัวผู้กระทำความผิดพร้อมของกลาง ดังนี้ 1.ผู้ต้องหา 6 ราย เป็นบุคคลตามหมายจับจีนไต้หวัน 2 ราย 2.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 7 เครื่อง และ 3.โทรศัพท์มือถือ 45 เครื่อง
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือ พบว่า กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นที่เป็นคนจีนไต้หวัน ในรูปแบบหลอกให้ร่วมลงทุนเหรียญสกุลเงินดิจิทัล และรับแลกเปลี่ยนเงินผิดกฎหมาย มีการแบ่งหน้าที่กันทำและใช้บัญชีธนาคารสัญชาติจีนเป็นเส้นทางการเงินในการกระทำความผิด จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหา 4 ราย ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต” , กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จำนวน 1 ราย และถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร 1 ราย นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.ธนิต กล่าวว่า หลังจากผู้ต้องหาทั้งหมดคดีถึงที่สุดแล้ว สตม. จะทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และผลักดันออกนอกประเทศ รวมถึงจะบันทึกข้อมูลบุคคลต้องห้ามไม่สามารถเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีกต่อไป
ส่วน พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ กล่าวว่า สถิติคดีออนไลน์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ ผบ.ตร. สั่งให้มีศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 29 พ.ค.65 พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความแล้ว 30,029 ราย โดยพบว่าคดีที่สูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ 1.ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 10,603 คดี แนะนำให้ เลือกซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือหรือรู้จักเท่านั้น
2.หลอกให้ทำงานออนไลน์ เช่น ให้รีวิวสินค้า , กดไลท์ Tiktok , กดไลท์สินค้า 3,666 คดี ซึ่งช่วงนี้มีการระบาดหนักมาก ขอเตือนว่างานที่การันตีรายได้วันละ 500-1,000 บาท ส่วนมากไม่มีอยู่จริง อย่าเชื่อข้อความจากคนที่ไม่รู้จัก และขอแนะนำให้สมัครงานกับบริษัทที่จดทะเบียนเท่านั้น
3.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 2,993 คดี โดยเราพบว่า ข้อความอนุมัติวงเงินกู้จากคนที่ไม่รู้จักส่วนมากจะเป็นมิจฉาชีพ
นอกจากนี้ขอฝากให้ประชาชน ติดตามจาก เพจ PCT Police เพื่อรู้ทันความคิดของคนร้าย ซึ่งคณะทำงานจะผลิตสื่อหรือคอนเท้นท์เตือนภัยในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้ทันและไม่ตกเป็นเหยื่อ และหากพบเบาะแสสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 หรือ 191 ทั่วประเทศ ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com
-005