โรงพยาบาลบุรีรัมย์แถลงกรณีเด็กชายวัย 12 ปี ไส้ติ่งแตกเสียชีวิต ยืนยันไม่มีคิวแทรก อย่างแน่นอน
เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (6 มิ.ย.65) ที่ห้องประชุม 815 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ นายแพทย์รักเกียรติ ประสงค์ดี รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ แถลงกรณีเด็กชาย วัย 12 ปี ไส้ติ่งแตกเสียชีวิต
เบื้องต้นทางโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ได้เรียกประชุมส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยได้ผลสรุปเบื้องต้นว่า ก่อนเสียชีวิต เด็กชายกิตติศักดิ์ กรมไธสง หรือน้องต้นน้ำ ได้มีอาการปวดท้องน้อยด้านขวาประมาณ 1 วันก่อนเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพุทไธสง โดยทางโรงพยาบาลพุทไธสง ได้วินิจฉัยว่า เด็กชายต้นน้ำเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ จึงทำการส่งตัวมาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ในวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 15.00 น.และทำการตรวจประเมินก่อนส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยชายในเวลา 15.45 น.และได้รับการตรวจประเมินพร้อมให้การรักษาเบื้องต้น โดยวินิจฉัยว่า เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ พร้อมเตรียมนำเข้าผ่าตัดไส้ติ่งในเวลา 17.00 น.ของวันที่ 29 พ.ค.
จากนั้นผู้ป่วยมีอาการหายใจเร็วขึ้น และอยู่ในสภาวะอ้วน ซึ่งก่อนทำการผ่าตัด เจ้าหน้าที่ได้ปรึกษาทางด้านดมยาเพื่อเตรียมผู้ป่วยให้ความพร้อม ก่อนเตรียมเข้าผ่าตัดในเวลา 23.30 นาที ซึ่งขณะนั้นห้องผ่าตัดทั้ง 3 ห้องของโรงพยาบาลมีคิวผ่าตัดทั้งหมด โดยห้องแรกกำลังอยู่ในระหว่างการผ่าตัด ผู้ป่วยภาวะลำไส้อุดตันและลำไส้เน่าจากไส้เลื่อน และมีผู้ป่วยภาวะช่องท้องอักเสบอย่างรุนแรง รอคิวต่อ ในส่วนของห้องที่สองเป็นเคสภาวะอุบัติเหตุ และกระดูกโผล่ 2 ราย และห้องผ่าตัดห้องที่สามคือห้องผ่าตัดหญิงตั้งครรภ์ที่ทารกมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน ทุกเคส จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงพิจารณานำเด็กชายต้นน้ำกลับหอผู้ป่วยชายก่อนชั่วคราว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ว่าจะผ่าตัดเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายหากให้เด็กชายต้นน้ำรอที่ห้องผ่าตัด
จากนั้นเมื่อช่วง 07.00 ของวันที่ 30 พ.ค.เจ้าหน้าที่ได้ประเมินอาการของเด็กชายต้นน้ำก่อนเตรียมการเข้าผ่าตัด พบว่า เด็กชายต้นน้ำมีอาการหายใจหอบ และหายใจเร็ว จึงวินิจฉัยว่า เด็กชายต้นน้ำมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ก่อนนำเข้าผ่าตัด ในวันที่ 30 พ.ค.ช่วงเวลา 14.00 น.ใช้เวลาผ่าตัด 45 นาทีซึ่งผลจากการผ่าตัดพบว่าพบมีอาการไส้ติ่งแตก มีหนองอยู่โดยรอบ ประมาณ 100 ซีซี ก่อนย้ายผู้ป่วยเข้าห้อง ICU เด็กเพื่อรักษาอย่างเต็มที่ก่อนผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น เมื่อเวลา 02.25 น.ของวันที่ 31 พ.ค.
ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องก่อนเป็นอันดับแรก และโรงพยาบาลยอมรับว่าเรารักษาที่ล่าช้า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ทางคณะทีมรักษารวมถึงคณะการเยียวยา และการให้ข้อมูล การเยี่ยมบ้านคนไข้ ถือว่าล่าช้าไปมาก หลังจากนี้จะต้องไปขอขมาผู้ปกครองเด็กในเร็วๆนี้ ส่วนการเยียวยา จะต้องเข้าไปสอบสวนในเชิงลึก ว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหาย จากการรับบริการทางสาธารณสุขได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนประเด็นที่ผู้ปกครองน้องติดใจว่า "มีเคสพิเศษ" แทรกคิวของน้องหรือไม่จากการสอบสวนแล้วไม่มีเคสพิเศษใดๆในโรงพยาบาล ทุกเคสสามารถที่จะมีหลักฐานประกอบและเป็นเคสที่มีความเร่งด่วน และมารับบริการก่อนหน้านี้ - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี