เปิดคำพิพากษาประหารชีวิต"ผกก.โจ้"กับลูกน้องอีก 5 คน คดีคลุมถุงดำ 7 ใบ เจตนาฆ่าโดยทารุณโหดร้ายเหยื่อค้ายา ส่วนดาบตำรวจอีกคน รอดโดนจำค 8 ปี ฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ จ่ายให้พ่อแม่ คนละ 3 แสน บรรเทาผลร้ายในคดี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มิ.ย.65 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.เลียบทางรถไฟ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี โจ้ถุงดำ หมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 น.ส.จันทร์จิรา ธนะพัฒน์ เรืออกาศตรีจักรกฤษณ์ กลั่นดี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผกก.โจ้ อดีตผกก. สภ.เมืองนครสวรค์ ,พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สส. ,ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค รอง สวป. ,ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา รอง สวป. ,ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป. ,ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผขบ.หมู่ ป. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมทั้ง 2
สืบเนื่องเมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4 - 6 ส.ค. พ.ศ.2564 พวกจำเลยได้จับกุมนายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต และถูกควบคุมไว้ในคดียาเสพติดและถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์
จำเลยทั้ง 7 คนให้การปฏิเสธ ฐานฆ่าผู้อื่นฯ และให้การรับสารภาพข้อหา วันนี้อัยการโจทก์ โจทก์ร่วมที่1-2 ทนายโจทก์ร่วมและทนายจำเลยมาศาล โดยวันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษาผ่านวิธีวิดีโอคอลเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม สถานที่คุมตัว จำเลยทั้งหมด
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลย ที่1-7กับพวกรวม 13 คนล่อซื้อจับกุมนายจิระพงษ์หรือมาวิน กับแฟนสาว คดียาไอซ์ จากนั้นจำเลยที่ 1-5 และ7 นำตัวผู้ตายมาสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมยาเสพติด ที่ห้องปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือห้อง 05 โดยไม่ทราบว่ามีการติดกล้องวงจรปิด แต่เมื่อศาลเปิดภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด ก็ยอมรับว่าเป็นบุคลในภาพและมีพยานโจทก์ปากอื่นที่เป็นเจ้าหน้าที่กองตรวจพิสูจน์หลักฐานเบิกความยืนยันว่าไม่พบการตัดต่อคลิปภาพดังกล่าว ซึ่งมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายตีละใบ จนครบจำนวน 7 ใบนาน 6 นาทีเศษ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เข่าทับร่างกายมิให้ดิ้นรนขัดขืน เพื่อบังคับให้ผู้ตายบอกข้อมูลที่ซุกซ่อนยาเสพติด ซึ่งเมื่อตรวจดูโทรศัพท์ผู้ตายแล้วเจอภาพยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง และข่มขู่ว่า"กูจะเอามึงยันตาย หากไม่บอกความจริง"จนผู้ตายส่งเสียงร้อง และพลัดตกจากเก้าอี้และหมดสติดอยู่ที่พื้นห้อง จากนั้นจำเลยที่ 1และพวกได้ช่วยกันปั้มหัวใจ ตรวจดูชีพจร แต่พบว่าผู้ตายหมดสติแล้ว จากนั้นจึงพากันนำส่งโรงพยาบาลปริ๊นซ์ ปากน้ำโพ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยเหลือจนสามารถกู้สัญญาณชีพกลับมาได้แต่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต
การที่จำเลย 1,2,3,4,5 และ 7 ใช้ถุงดำคลุมศรีษะผู้ตายย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตายอาจขาดอากาศหายใจได้ ซึ่งการตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติก จนขาดอากาศหายใจ การกระทำของจำเลยทั้ง 6 คน จึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยใช้ถุงพลาสติก 7 ใช้คลุมศีรษะทีละใบด้วยความโหดร้ายทรมาน
ส่วนด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ฟังได้ว่า แม้จะมีส่วนร่วมกับการจับกุมตัว นายจิระพงษ์ หรือมาวิน แต่เมื่อจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวมาสอบสวนขยายผลยาเสพติด จำเลยที่ 6 ได้เข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุดังกล่าวแล้วเห็นว่าผู้ตายนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง ก็มีการตื่นตกใจและได้เดินออกจากห้องไปไม่กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล จึงได้เข้ามาช่วยเหลือดังกล่าว
พิพากษาว่า จำเลยที่1-5,7 มีความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา157,289(5) มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล โดยทรมานหรือโดยกระทำ ทารุณโหดร้าย , 308 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 309 วรรคสอง พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทําความผิดของจำเลยที่ 1-5,7 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้ กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงและทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และฐานร่วมกันฆ่าอื่นผู้โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายเป็นการกระทำ อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1-5,7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งผลตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง โดยทรมานหรือโดยกระทำ ทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต
ส่วนการกระทําความผิดของจำเลยที่ 6 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และฐานร่วมกับตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจ่ายอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง และทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 มีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 8 ปี
อย่างไรก็ตามจำเลยทั้งเจ็ดรับข้อเท็จจริงบางส่วนและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง หลังเกิดเหตุ จําเลยทั้งเจ็ด พยายามช่วยเหลือผู้ตายโดยช่วยปั๊มหัวใจผู้ตาย และรีบนำตัวผู้ตาย ส่งโรงพยาบาล จนแพทย์ช่วยรักษาผู้ตายมีสัญญาณชีพและหัวใจกลับมาเต้นก่อนที่ผู้ตาย จะถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา รู้สึกความผิดช่วยค่าปลงศพผู้ตายเป็นเงิน 30,000 บาท และวางเงินบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วมบิดามารดาทั้งสองคนละ 300,000 บาท นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1-5,7 ไว้ตลอดชีวิต คงจำคุกจำเลยที่ 6 ไว้ 5 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
ส่วนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยกระทำทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดาและมารดา ผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา420 แต่เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าพนักงาน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้อง หน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ดังนั้น โดยผลของมาตรา 5 ดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้กระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงเป็นผลให้โจทก์ร่วมทั้งสอง ผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1วรรคหนึ่งได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้การยกคำร้องขอดังกล่าวมิได้เป็นการตัดสิทธิ ในการเรียกร้องค่าสินไหมของโจทก์ร่วมทั้งสอง แต่โจทก์ร่วมทั้งสองต้องไปดำเนินการเรียกเอากับ หน่วยงานของรัฐที่จำเลยทั้งเจ็ดสังกัดอยู่ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'พ่อเหยื่อ'พอใจคำพิพากษา'อดีตผกก.โจ้' ยันไม่ขอสู้ต่อ แม่รับอยากให้ประหารชีวิต)
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี