น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีปล่อยขบวนสารวัตรเกษตร ออกปฏิบัติงานควบคุมปัจจัยการผลิตให้มีคุณภาพรับฤดูกาลผลิตใหม่ ของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ว่า การส่งเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรออกตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้และเกษตรกรได้ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพตามที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร รณรงค์ให้ผู้ประกอบการผลิตปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ
“สารวัตรเกษตรในยุคนี้ เป็นการเปิดตัวพลิกโฉมการปฏิบัติหน้าที่จากรูปแบบเดิม เพราะจะเข้าไปดูแล ให้คำแนะนำ สิ่งไหนที่ผิด สิ่งไหนที่ถูก เพื่อให้เกษตรกรได้มีความรู้ความเข้าใจ และใกล้ชิดกับเกษตรกรและผู้ประกอบการมากขึ้น สารวัตรเกษตรแบบใหม่จะต้องทำให้เกษตรกรอยากเข้าหาขอความรู้ คำแนะนำต่างๆ ได้ และขอฝากเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรทั่วประเทศให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่วมใจกันออกตรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน” น.ส.มนัญญา กล่าว
ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า งานควบคุมตาม พ.ร.บ.เป็นภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สารวัตรเกษตร ต้องดำเนินการรับผิดชอบกำกับดูแลงานตาม พ.ร.บ.ต่างๆ ถึง 6 ฉบับ ในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 11 จังหวัด มีร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรกว่า6,000 ร้านค้า มีพนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร 43 คน กลุ่มควบคุมตาม พ.ร.บ.สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 จึงริเริ่มโครงการสารวัตรเกษตรอาสา ซึ่งเป็นการนำผู้นำชุมชน เกษตรกร และภาคส่วนต่างๆ มารับการอบรม และร่วมเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถกำกับดูแลงานด้านนี้ให้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันมีสารวัตรเกษตรอาสาใน 11 จังหวัดนี้ รวม 1,813 คนกรมวิชาการเกษตรจึงได้ขยายโครงการนี้ให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรในสังกัดทั่วประเทศ
สำหรับ 11 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ มุกดาหาร สกลนคร นครพนม หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬเลย และอุดรธานี อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2564กรมวิชาการเกษตร ได้ตรวจตามเบาะแสข้อร้องเรียน ส่วนผู้ประกอบการที่ขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย วัตถุอันตรายและพันธุ์พืช โดยสามารถจับกุมและดำเนินคดีใน 4 จังหวัด 4 คดี รวมมูลค่า5,770 250 บาท และในปี 2563 จำนวน 6 จังหวัด 15 คดี มูลค่า 51 ล้านบาท