ป.จับมือฆ่า2คนไทยที่ไต้หวัน
หิ้วตัวเข้ากรุงเค้นสอบเครียด
ผบ.ตร.สอบปากคำด้วยตัวเอง
กองปราบฯบุกรวบ “สันติ” ฆาตกรโหดฆ่า 2 สามีภรรยาที่ไต้หวันโดยฝ่ายหญิงตั้งท้องอยู่ หิ้วตัวเข้ากรุง ผบ.ตร.เค้นสอบด้วยตัวเอง เจ้าตัวให้การภาคเสธอ้างแค่ลวงเหยื่อมา ไม่ได้ลงมือฆ่าก่อนขับรถขนศพไปจอดทิ้งแล้วหนีกลับไทยรองโฆษกอสส.ชี้คดีนี้เป็นอำนาจศาลไทย ไม่หวั่นขั้นตอนหาพยานหลักฐานต่างแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และตำรวจไต้หวัน ประสานความร่วมมือถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขอให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุม นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมนายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี และ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี อายุ 35 ปีสองสามีภรรยา ซึ่งฝ่ายหญิงกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทิ้งท้ายรถยนต์บีเอ็มดับบลิว เหตุเกิดที่ลานจอดรถสถานีรถไฟเถาหยวน ในไต้หวัน ก่อนจะหลบหนีกลับประเทศไทย ต่อมาศาลอาญาอนุมัติหมายจับนายสันติ ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยทาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ได้จัดชุดสืบสวนเร่งออกติดตามตัวนายสันติ มาดำเนินคดีแล้ว กระทั่งมีรายงานข่าวว่า นายสันติ ประสานผ่านตัวแทนเพื่อติดต่อขอเข้ามอบตัวนั้น
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 พล.ต.ท.จิรภพสั่งการให้ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1บก.ป.พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4บก.ป.นำกำลังเดินทางไปยังที่ทำการหมวดมวลชนสัมพันธ์ กองร้อย ตชด.ที่ 335 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อควบคุมตัวนายสันติ ไว้ดำเนินคดี โดยมี นายสุชาติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ63 ปี บิดาของนายสันติ พาเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่
ก่อนหน้านี้พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่าภายหลังศาลอาญา ออกหมายจับนายสันติ และทราบข้อมูลว่า หลบหนีอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ได้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีกระทั่งมีคนใกล้ชิดของนายสันติติดต่อเข้ามายังตำรวจในพื้นที่ว่าสามารถติดต่อกับนายสันติได้แล้วและยืนยันว่านายสันติจะขอเข้ามอบตัว เพราะทนแรงกดดันไม่ไหวและได้มีการเจรจาถึงการเข้ามอบตัวในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ อย่างไรก็ดี เมื่อมีการมอบตัวของนายสันติ ก็จะอยู่ในการควบคุมของตำรวจ บก.ป.เพื่อดำเนินคดีต่อไป
อย่างไรก็ดี มีรายงานข่าวด้วยว่านายสันติได้ถูกควบคุมตัวแล้วในพื้นที่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาวซึ่งจากการสอบสวน เบื้องต้นนายสันติ ให้การภาคเสธโดยยอมรับว่าเป็นผู้ลวงให้น.ส.พจนีย์ ให้มาหาที่หอพักที่ไต้หวันอ้างว่าให้มาตกลงเรื่องเงินและธุรกิจ แต่มีคนร้ายอีกกลุ่ม เป็นผู้ลงมือสังหาร โดยอ้างว่าตนมีหน้าที่ขับรถขนศพยัดท้ายรถไปจอดทิ้งไว้ที่บริเวณสถานีรถไฟในคืนวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย แล้วหลบหนีไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านใหม่หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่และออกจากบ้านพัก หลบหนีไปอยู่ตามแนวชายแดน
โดยทางเจ้าหน้าที่จะคุมตัวนายสันติขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เดินทางมายัง บช.ก.ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ จะสอบปากคำด้วยตัวเองอย่างละเอียดอีกครั้ง
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กล่าวถึงการดำเนินคดีนายสันติว่าหากทางฝ่ายผู้เสียหายคือพ่อแม่ ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตทั้งสอง จะขอให้ดำเนินคดีในประเทศไทย ก็สามารถดำเนินคดีได้ โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 ซึ่งบัญญัติไว้ว่าความผิดที่เกิดนอกราชอาณาจักร ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิต หรือฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นคนไทย สามารถดำเนินคดีในประเทศไทยหรือศาลไทย และรับโทษในประเทศไทยได้ ส่วนการดำเนินการตามมาตรา 8 จะต้องมีการสอบสวน ซึ่งกระบวนการสอบสวนต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ที่บัญญัติไว้ว่าความผิดนอกราชอาณาจักรอำนาจสอบสวนเป็นของอัยการสูงสุด ซึ่งสามารถมอบหมายให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปหรือให้พนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการได้
“คดีนี้เกิดเหตุที่ไต้หวัน พยานหลักฐานแทบทั้งหมดจึงอยู่ที่ไต้หวัน กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานจากประเทศต้นทางเพื่อเข้ามาในสำนวนการสอบสวน หากจำเป็นต้องดำเนินการในส่วนนี้ทางสำนักงานอัยการสูงสุด มีสำนักงานอัยการต่างประเทศ ซึ่งมีนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ เป็นอธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เป็นผู้ประสานความร่วมมือกับทางการไต้หวัน แต่เนื่องจากไทยกับไต้หวันไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน การประสานความร่วมมือเรื่องนี้ก็จะผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย” นายประยุทธ กล่าว
นายประยุทธ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้จึงไม่น่ามีปัญหาเมื่อมีการสอบสวนเสร็จแล้วสำนวนก็จะถูกส่งไปยังอัยการสูงสุดมีความเห็นและคำสั่ง หากมีคำสั่งฟ้องก็จะมอบให้อัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญา แต่หากทางการไต้หวัน ประสงค์จะขอตัวนายสันติ กลับไปดำเนินคดีนั้น โดยหลักแล้วถ้าขอส่งตัวกลับก็จะเข้าสู่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อเราไม่มีสนธิสัญญาต่อกัน ก็ต้องใช้วิธีทางการทูตถ้อยทีถ้อยอาศัย ผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปฯ แต่ตนเข้าใจว่าเป็นอำนาจของศาลไทย ผู้เสียหายเป็นคนไทยและผู้ถูกกล่าวหาก็เป็นคนไทยคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งไปดำเนินคดีที่ไต้หวัน เพราะสามารถดำเนินคดีในประเทศไทยได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี