มติศบค.ปรับพื้นที่สีเขียวทั่วปท.
ถอดแมสก์1ก.ค.
ในพื้นที่โล่ง/ยึดความสมัครใจ
ยังไม่เคาะเปิดร้านเหล้าถึงตี2
สธ.ลดเตือนภัยโควิดระดับ2
ห่วง17จังหวัดส่อระบาดเพิ่ม
จี้รพ.ฉีดเข็มกระตุ้นให้เกิน60%
ติดเชื้อใหม่1,967ราย/ตาย19ศพ
ศบค.ชุดใหญ่เคาะปรับพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ-“ถอดแมสก์” ได้ในที่โล่ง-ยึดความสมัครใจ แต่กลุ่ม 608 ควรใส่ไว้ก่อน-เลิกไทยแลนด์พาสเข้าประเทศ เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ ส่วนเปิดปิดร้านเหล้าตีสอง รอสมช.ศึกษา ก.ม. ที่เกี่ยวข้องก่อน สธ.ชี้โควิดเข้าระยะหลังเกิดโรคติดต่อ ปรับแจ้งเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 2 ทั่วประเทศให้สอดคล้องสถานการณ์ระบาด สั่งทุก จว.เดินหน้าฉีดเข็มกระตุ้นให้เกินร้อยละ 60 รองรับประกาศโควิดเป็นโรคประจำถิ่นติดเชื้อใหม่ 1,967 ราย ตาย 19 ศพ ห่วง 17 จว.ส่อระบาดเพิ่ม-จับตาหวั่นเกิดระลอกเล็ก
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)หรือศบค.แถลงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในฐานะผอ.ศบค.เป็นประธานการประชุมซึ่งมีการพิจารณาวาระสำคัญคือการถอดหน้ากากอนามัย รวมทั้งการกำหนดเวลาเปิดปิดสถานบันเทิง
ไทยติดเชื้อใหม่1,967/ตาย19ศพ
นพ.ทวีศิลป์แถลงสรุปสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,967 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,963 ราย มาจากเรือนจำ 3 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 1 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 2,123 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 21,030 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 598 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 288 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 19 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,494,880 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,443,428 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 30,422 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 543,091,611 ราย เสียชีวิตสะสม 6,338,021 ราย
17จว.ส่อระบาดเพิ่ม-จับตาระลอกเล็ก
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า กรมควบคุมโรค (คร.) รายงานสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ปลายเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ขณะนี้เราอยู่ช่วงระยะหลังเกิดโรคติดต่อ โดยที่ประชุมรับทราบตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอภาพการระบาดใน 77 จังหวัดว่า มี 50 จังหวัดมีทิศทางลดลงสอดคล้องกัน แต่มี 17 จังหวัดที่ตัวเลขลดลงแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องมีมาตรการป้องกันเฝ้าระวังไม่ให้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะบอกว่าหมดการระบาดแล้วยังไม่เชิง ยังคาดการณ์กันว่าอาจมีการระลอกเล็กๆ เกิดขึ้นมาได้บ้าง จึงต้องเฝ้าระวัง ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันโรคที่หมายถึงการฉีดเข็มกระตุ้นและการสวมหน้ากาก เพราะการให้ถอดหน้ากากอาจทำให้เกิดการระบาดเล็กๆ ได้
ปรับจว.สีเขียวทั่วปท.-ปลดล็อค1กค.
นพ.ทวีศิลป์เปิดเผยว่านอกจากนี้ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบปรับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักรเป็นพื้นเฝ้าระวัง หรือพื้นที่สีเขียวทั้ง77จังหวัด และยกเลิกกำหนดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว(สีฟ้า)ทั้งประเทศ รวมถึงเห็นชอบข้อเสนอผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรคในประเทศได้แก่ ควรใส่หน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่แออัด สถานที่ปิด หรือ อยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในพื้นที่เฝ้าระวังให้เปิดบริการได้ตามปกติ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค กฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง สถานประกอบการประเภทสถานบันเทิงเปิดให้บริการและให้ผู้รับบริการดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึง 24.00น.โดยเปิดให้บริการตามกฎหมายเดิมกำหนด ผ่อนคลายให้เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวได้ตามปกติ ยกเลิกการคัดกรองด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิในอาคารสถานที่ แต่อาจให้คัดกรองอุณหภูมิในสถานที่เสี่ยงหรือพื้นที่ระบาด ให้เว้นระยะห่างตามความเหมาะสม สำหรับการรวมกลุ่มให้ตรวจคัดกรองเอทีเคสำหรับผู้ป่วยสงสัยมีอาการทางเดินหายใจ หากมีการรวมกลุ่มมากกว่า2,000คน ให้แจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทั้งนี้ เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม
ยังไม่เคาะขยายเปิดผับถึงตีสอง
นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังใช้เวลาหารือพอสมควรถึงข้อเสนอให้เปิดสถานบันเทิงและบริโภคสุราถึงเวลา 02.00 น. เนื่องจากต้องศึกษาข้อกฎหมายที่เชื่อมโยงกัน 3 ฉบับคือ พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 กฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ พ.ศ.2547 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2558 ที่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา11.00–14.00น.และอีกช่วงคือ เวลา17.00–24.00น.
“ซึ่งที่ประชุมมอบให้ฝ่ายกฎหมาย ให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ในฐานะผอ.ศปก.ศบค.หาข้อสรุปโดยไปดูกฎหมายเก่าว่าจะผ่อนคลายอย่างไร ต้องผ่านกระบวนการจัดการเรื่องกฎหมาย และนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)ซึ่งนายกฯขอให้ทำให้เร็วที่สุด อยากให้เกิดขึ้นวันที่1กรกฎาคม แต่เลขาฯสมช.ขอเวลาให้ฝ่ายต่างๆไปทำงานให้เต็มที่เพื่อให้กฎหมายและข้อมูลที่รวบรวมมาแก้ไขถูกต้องและจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”นพ.ทวีศิลป์ ย้ำ
เคาะเลิกไทยแลนด์พาสเริ่ม1ก.ค.
โฆษก ศบค.แถลงด้วยว่า ที่ประชุมศบค.ยังเห็นชอบมาตรการเข้าราชอาณาจักร เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม ประกอบด้วย ยกเว้นการลงทะเบียนแบบไทยแลนด์พาสทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้ผู้เดินทางแสดงเอกสารฉีควัคซีนหรือผลตรวจเชื้อ สุ่มตรวจผู้เดินทาง หากสุ่มแล้วผู้เดินทางไม่มีเอกสารรับรองใดๆ ให้ตรวจเอทีเคที่สนามบินจนกว่าจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คงระบบและเปลี่ยนหน้าที่ไทยแลนด์พาส เพื่อให้ผู้เดินทางใช้แจ้งรายงานกรณีมีอาการต้องสงสัยโรคติดต่ออันตรายและโรคติดต่อที่ต้องรายงานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกมาตรการคัดกรองอุณหภูมิที่ช่องทางเข้าออก ยกเลิกกำหนดวงเงินประกัน แต่ให้ส่งเสริมการซื้อประกันเพื่อไม่ให้เป็นภาระเวลาป่วย
ถอดแมสก์แล้วแต่สมัครใจ-608ควรใส่
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายทางสังคม ชุมชนและองค์กร โดยในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยนั้น นายกฯเน้นว่าขอให้เป็นไปโดยความสมัครใจ เพราะยังมีประโยชน์ในการป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อ จึงควรพกหน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และสามารถนำมาสวมเมื่อมีความเสี่ยง สำหรับประชาชนกลุ่มเฉพาะคือ กลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ควรสวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ผู้ติดเชื้อหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนประชาชนทั่วไปให้สวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เมื่อรวมกลุ่มคนจำนวนมาก มีความแออัด หรือระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬาหรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม สามารถถอดหน้ากากได้กรณีอยู่คนเดียว หากอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในที่เดียวกันต้องเว้นระยะห่างได้ หากมีกิจกรรมจำเป็นต้องถอดหน้ากาก รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดงให้ระมัดระวัง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็ให้สวมหน้ากาก
อย่าบูลลี่คนใส่แมสก์
“ที่ประชุมพูดถึงความสำคัญประเด็นนี้ ในต่างประเทศการสวมหน้ากาก บางครั้งอาจแสดงถึงเป็นผู้ติดเชื้อ คนนี้จะถูกรังเกียจ มีการบูลลี่กัน แสดงทัศนคติที่ไม่ดีกัน จึงต้องประชาสัมพันธ์กันว่าผู้สวมหน้ากากเป็นผู้รับผิดชอบต่อสังคม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนติดเชื้อหรือเสี่ยงสูงอย่างเดียว ใครที่รักสุขภาพรักตัวเองที่ต้องการจะใช้หน้ากากดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิทธิที่จะสวมหน้ากากได้ เรื่องนี้อยากให้เป็นภาพของความสมัครใจ เพราะนายกฯรับฟังมาจากหลายคน บางคนยังไม่อยากถอดด้วย จึงอยากให้คงไว้”นพ.ทวีศิลป์กล่าว
พิธีกรถอดแมสก์ได้
และว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางปฏิบัติการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ โดยผู้ปฏิบัติการหน้าฉากถอดหน้ากากได้อย่างมีเงื่อนไข จากเดิมกสทช.อนุญาตให้เฉพาะละคร แต่ขณะนี้ผ่อนคลายให้พิธีกรและผู้ร่วมรายการถอดหน้ากากได้ แต่ต้องมีมาตรการโควิดฟรีเซตติ้ง โดยมอบหมายให้ กสทช.ออกมาตรการและช่วงเวลาบังคับใช้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ กสทช.ที่จะประกาศบังคับใช้ได้เลย
จี้ฉีดเข็มกระตุ้นให้เกิน60%
สำหรับความคืบหน้าการให้บริการวัคซีนนั้น นพ.ทวีศิลป์ย้ำว่า มีความสำคัญมาก ก่อนเข้าสู่การประกาศเป็นโรคประจำถิ่น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต้องถึง 60% ปัจจุบันทำได้ 41.8% ฉีดไปแล้ว 138.9 ล้านโดส ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ชี้แจงในที่ประชุมด้วยว่า วัคซีนที่มีอยู่ต้องส่งไปให้ถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) หรือหน่วยงานที่ใกล้ประชาชนมากที่สุดเพื่อเตรียมความพร้อมให้พร้อมใช้และให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหิ้วเป็นกระเป๋าไปฉีดให้ประชาชน ถือเป็นความเหมาะสม สำคัญที่จะนำวัคซีนไปให้ถึงประชาชนให้ได้ไกลมากที่สุดและได้ฉีดเร็วที่สุด แต่ยอมรับว่า วัคซีนที่รับบริจาคมาบางส่วนจะหมดอายุเราต้องพยายามใช้ประโยชน์ของวัคซีนนั้นๆ โดยเร็ว ขอความร่วมมือประชาชนโดยเฉพาะผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง 608 รับวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อลดอัตรา การป่วยหนักและการเสียชีวิต
คืนบอร์ดโรคติดต่อกทม.ให้“ชัชชาติ”
นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเข้าร่วมประชุม ศบค.วันนี้ด้วย โดยรายงานสถานการณ์โรคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทำได้ดี จัดการสถานการณ์ได้ดี จากที่เราเคยมีศูนย์แก้ไขสถานการณ์บริการแก้ไขสถานการณ์ โควิด-19 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในอดีตมีการติดเชื้อสูงมาก นายกฯต้องมาเป็นหัวหน้าศูนย์ดังกล่าว แต่วันนี้กลับไปใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯกทม.เป็นประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้แล้ว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ศูนย์บริหารสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้นหมดหน้าที่ไป ทำให้เหมือนทุกจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
สธ.ลดแจ้งเตือนภัยโควิดเป็นระดับ2
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โควิดของไทยมีแนวโน้มลดลงชัดเจน ทั้งผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิต จังหวัดส่วนใหญ่เข้าสู่ระยะขาลง (Declining) แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการ ทั้งเปิดสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ ก็ยังไม่มีรายงานระบาดเป็นกลุ่มก้อนในคลัสเตอร์นี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting ได้ ขณะที่ระบบสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรองรับ ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์มีเพียงพอให้บริการ อัตราครองเตียงระดับ 2 และ 3 หรือเตียงสีเหลืองสีแดงต่ำกว่า 10% ซึ่งการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ตนรายงานสถานการณ์ว่าแนวโน้มดีขึ้นและเสนอให้ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์หรือพื้นที่สีทั่วราชอาณาจักร เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว)ทั้งประเทศ รวมถึงสธ.ปรับคำแนะนำการเตือนภัยโควิดจากระดับ 3 เป็นระดับ 2 ทั่วประเทศ
เน้นกลุ่มเสี่ยง608รับเข็มกระตุ้น
ปลัด สธ.ย้ำว่า การแจ้งเตือนภัยโควิดระดับ 2 มีคำแนะนำการปฏิบัติตัว โดยเน้นกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์คือ เข็มกระตุ้น ดังนี้ ให้งดเข้าสถานบันเทิง หลีกเลี่ยงเข้าสถานที่ระบบปิดหรือแออัด หลีกเลี่ยงการร่วมกิจกรรมที่มีคนรวมกลุ่มจำนวนมาก หลีกเลี่ยงโดยสารขนส่งสาธารณะทุกประเภท และเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนประชาชนทั่วไปปฏิบัติตัวใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่แนะนำว่ายังต้องคงมาตรการป้องกันควบคุมโรค 2U คือ Universal Prevention ป้องกันติดเชื้อด้วยการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย และให้ทุกคนมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ให้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่า 60% ส่วนสถานประกอบการต่างๆ ยังขอให้ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting
ปลื้มไทยผลิตสเปรย์พ่นจมูกสกัดโควิด
ด้านน.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกฯชื่นชมความร่วมมือระหว่าง 5 หน่วยงานคือ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และบริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด ที่ร่วมมือพัฒนานวัตกรรม “สเปรย์แอนติบอดีพ่นจมูกที่มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อโควิด เป็นอีกนวัตกรรมจากคนไทยที่ผลิตขึ้นใช้ได้เองในประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ ที่มีมาตรฐานยอมรับในระดับสากล สำหรับสเปรย์แอนติบอดีพ่นจมูกที่มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อโควิด คาดว่าผลิตออกสู่ตลาดให้ประชาชนได้ใช้ป้องกันโควิดได้ไตรมาส 3 ของปีนี้
2วัคซีนสัญชาติไทยจ่อขึ้นทะเบียนอย.
นอกจากนี้ นายกฯยังชื่นชม อภ.ที่พัฒนาวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ฝีมือคนไทย ซึ่งผ่านการทดลองในมนุษย์เฟส 1 และเฟส 2 แล้ว จากผลการพัฒนาสูตรวัคซีน HXP-GPOVac สามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ อยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยมีแผนจะนำวัคซีนตัวนี้ กลับไปทดลองเฟส 2 อีกครั้งเดือนสิงหาคม เมื่อสำเร็จได้ผลดี จะทดลองเฟส 3 ต่อไป คาดว่า จะเริ่มฉีดให้ประชาชนได้กลางปี 2566 ส่วนความคืบหน้าวัคซีนโควิด “Chula Cov19” พัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ผลทดสอบพบว่ามีประสิทธิภาพสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีเทียบเท่ากับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ขณะนี้อยู่ระหว่างผลิตวัคซีนในโรงงานไทย เพื่อรอทดลองในคนระยะ 3 คาดว่าจะขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินให้สิ้นปีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี