‘สันติ’สารภาพ
ร่วมมาเฟียไต้หวันฆ่าสองผัวเมีย
ปมหักหนี้ยาเสพติด
ก่อนหลบหนีเข้าไทย
ตำรวจส่งตัวฝากขัง
“สันติ” โดนตำรวจกองปราบฯสอบทั้งคืน ยอมรับสารภาพ ร่วมมาเฟียไต้หวันฆ่าสองสามีภรรยาท้องแฝด ปมหักเคลียร์หนี้ยาเสพติด ตำรวจฝากขังส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
เมื่อเวลา 10.30. น. วันที่ 18 มิ.ย.65 ที่กองบังคับการปราบปราม พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน หรือหยาง อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญาที่ 1155/2565 ลงวันที่ 14 มิ.ย.65 ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” มาสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมฝากขังต่อศาลอาญาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์และอัตราโทษสูงเกรงว่าจะหลบหนี ก่อนคุมตัวส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หลังจาก นายสันติ เข้ามอบตัว กับตำรวจ ที่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายสันติ ก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.พจนีย์ หรือมี่ อายุ 35 ปี และ นายประเสริฐ อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาชาวไทยและลูกแฝดในครรภ์ พร้อมกับนำร่างผู้ตาย ใส่ท้ายรถยนต์ จอดทิ้งไว้สถานีรถไฟฟ้าเถาหยวน ไต้หวัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.65 ก่อนหลบหนีมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา และถูกกดดันจากหลายฝ่ายจนเข้ามอบตัว โดยพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายสันติ ตลอดทั้งคืนและเพิ่งนำตัวลงมาที่ห้องคุมขังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยไม่พบว่ามีญาติมาติดต่อเข้าเยี่ยมแต่อย่างใด
ทั้งนี้จากการสอบปากคำตลอดทั้งคืนในที่สุดนายสันติ ผู้ต้องหายอมเปิดปากให้การยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้สองสามีภรรยาเสียชีวิตจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเอง โดยรับว่าในวันเกิดตนเองเป็นคนนัดให้สองสามีภรรยาไปพบกลุ่มมาเฟียชาวไต้หวัน เพื่อเคลียร์เรื่องหนี้สินยาเสพติด ที่ตนเองได้ร่วมกันลงทุนค้ายาเสพติดแต่อ้างว่าเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ จนเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง กลุ่มมาเฟียไต้หวันจึงลงมือฆ่าทั้งสองคน จากนั้นตนเองก็มีหน้าที่นำศพสองสามีภรรยาและลูกแฝดใส่ท้ายรถและขับไปจอดทิ้งไว้ที่ริมทางรถไฟก่อนที่ตัวเองจะบินกลับมาที่ประเทศไทย
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดตำรวจยังไม่ได้ปักใจเชื่อเพราะเป็นคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาที่จะพูดอะไรก็ได้ และการขยายผลเรื่องยาเสพติดตำรวจไทยไม่สามารถเข้าไปทำการสืบสวนได้ เป็นอำนาจของตำรวจไต้หวัน แต่เชื่อว่าเรื่องนี้อาจเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาเพื่อให้มีเหตุจูงใจในการลงมือเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่มีกระแสข่าวว่าขัดแย้งเรื่องการส่งแรงงานไปทำงานที่ไต้หวันตรงนี้ไม่ถึงกับขัดแย้งกันแต่ยอมรับว่ามีการทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับแรงงานนี้จริง ส่วนกรณีที่เดินทางเข้ามาไทยและหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้านมีบุคคลใดให้การช่วยเหลือหรือไม่อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายสันติ หรือนายหวัง หรือนายหยาง อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาฆ่าสามี-ภรรยาในไต้หวัน หลังถูกคุมตัวจากจังหวัดเชียงใหม่มาดำเนินคดีที่กรุงเทพฯ ว่า จากหลักฐานที่ได้รับมาจากตำรวจไต้หวัน พบว่าคดีนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุอย่างน้อย 3 คน คือ นายสันติ และลูกน้องอีก 2 คน โดยนายสันติ เป็นหัวหน้าที่ว่าจ้างให้ลูกน้อง 2 คน ลงมือฆาตกรรม มีภาพวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ได้ค่อนข้างชัดเจน แต่ยังไม่ได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ร่วมลงมืออีก 2 คน เป็นใคร สัญชาติใด ส่วนปมเหตุเป็นเรื่องของหนี้สินที่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด แต่ข้อมูลดังกล่าวเป็นคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาที่ต้องตั้งเป็นสมมติฐานไว้ ระหว่างรอการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ส่วนการดำเนินคดีหลังจากนี้ตำรวจไทยและไต้หวันจะแยกกันดำเนินคดี ไม่จำเป็นต้องส่งผู้ต้องหาไปให้อีกประเทศดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยจะแบ่งปันข้อมูลทางการสืบสวน พยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินคดีในประเทศของตนเอง โดยส่วนของไทยขณะนี้ได้รับหลักฐานเป็นผลตรวจที่เกิดเหตุ , แผนที่เกิดเหตุ , ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ , ผลตรวจ DNA และหมายจับจากอัยการของไต้หวัน ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ ส่วนที่จะทำให้คดีนี้สมบูรณ์ ยังขาดเพียงผลการสอบปากคำพยานแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนกันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี