โลกผวาโอมิครอน‘BA.4-BA.5’
ไทยพบแล้ว81คน
‘ยุโรป-อเมริกาเหนือ’ยอดป่วยพุ่ง
ผลวิจัยชี้เชื้อกลายพันธุ์/หลบภูมิ
ลงปอดมีอาการรุนแรง-ติดซ้ำได้
ป่วยโควิดเพิ่ม2,299คน/ดับ18ศพ
ศบค.รายงานโควิด-19 รายวัน ไทยติดเชื้อใหม่ 2,299 ราย ตาย 18 ศพปอดอักเสบ 602 คน สธ.รับแนวโน้มติดเชื้อภาพรวมประเทศเพิ่มขึ้น อัตราครองเตียงขยับขึ้นมากกว่าพันเตียงหรือ 10% ยกผลวิจัยต่างประเทศย้ำชัด
โอมิครอนสายพันธุ์ BA.4, BA.5 ลงปอดจริง หลบภูมิคุ้มกัน ติดเชื้อซ้ำได้แน่
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำเป็น
เผื่อวัคซีนต้องบูสต์อีก24ล้านคน เผยในสต็อคเหลืออยู่29ล้านโดส‘หมอมนูญ’ย้ำคนไทยควรฉีดอย่างน้อย 3 เข็ม กลุ่ม608 ควรรับอย่างน้อย4เข็ม อนาคตมีmRNA โมเดอร์นารุ่นใหม่ออกมารับมือได้ทั้งโอมิครอน-สายพันธุ์เดิมได้ ศูนย์จีโนมฯระบุไทยติดโอมิครอนพันธุ์ใหม่แล้ว81คน และกำลังระบาดหนักในยุโรป
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด – 19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ทั่วโลก พบมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 546,626,378 ราย รักษาหายแล้ว 522,193,058 ราย และเสียชีวิตรวม 6,345,658 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บลาซิล ฝรั่งเศส และเยอรมนี ส่วนไทยอยู่อันดับ 26 ของโลก
ติดเชื้อเพิ่ม2,299-ตาย18-โคมา602
สำหรับสถานการณ์ติดเชื้อในประเทศไทยประจำวัน พบผู้ติดเชื้อใหม่ 2,299 ราย ติดเชื้อจากเรือนจำ 5 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมแล้ว 2,283,793 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย รวมเสียชีวิต 8,845 ราย ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อที่หายป่วยวันนี้ 1,783 ราย และกำลังรักษาตัวอยู่ 21,650 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยติดเชื้อที่อาการหนัก 602 ราย และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอีก 280 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตทั้ง 18 รายส่วนใหญ่เป็นประชากรกลุ่ม608 หรือประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงร้อยละ 94 โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่อายุมากกว่า 60 ปี 13 ราย คิดเป็นร้อยละ72 และประชากรผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มีโรคเรื้อรังอีก 4 ราย คิดเป็นร้อยละ22
ฉีดวัคซีนสะสม139ล.โดส
ศบค.ยังรายงานความคืบหน้าการให้บริการวัคซีน ข้อมูลวันที่ 22 มิถุนายนไทยฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เพิ่ม 119,248 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 13,129 ราย สะสมรวม 56,927,111ราย คิดเป็นร้อยละ81.8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด เข็มที่ 2 จำนวน 28,081 ราย สะสมรวม 53,058,423ราย คิดเป็นร้อยละ76.3ของจำนวนประชากรทั้งหมด และเข็มที่ 3 จำนวน 78,038 ราย สะสมรวม 29,308,079 ราย คิดเป็นร้อยละ42.1ของจำนวนประชากรทั้งหมด รวม 139,293,613 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.ชี้ติดเชื้อเพิ่ม-ย้ำฉีดเข็มกระตุ้น
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์แถลงสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยหลังการผ่อนคลายมาตรการและกิจการ/กิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นมาว่า แนวโน้มติดเชื้อภาพรวมของประเทศเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจน ที่ชัดเจนคือ พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)ที่มีโรงพยาบาล (รพ.) สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่งคือ รพ.ราชวีถี รพ.เลิดสิน และรพ.นพรัตนราชธานี มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามที่คาดการณ์ว่าเมื่อผ่อนคลายกิจกรรมจะติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงเริ่มพบติดเชื้อในโรงเรียนมากขึ้นด้วย ฉะนั้น วัคซีนโควิดยังจำเป็นมาก ตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคที่ให้ฉีดเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส)ทุก 4 เดือน ส่วนเข็มกระตุ้นในเด็กนักเรียนขอให้ติดตามประกาศจากกรมควบคุมโรคอีกครั้ง
อัตราครองเตียงขยับกว่าพันเตียง
นพ.สมศักดิ์กล่าวต่อว่า การระบาดโควิด-19 ปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK ด้วยตนเองที่บ้าน ก็ขอให้ช่วยรายงานเข้าระบบทั้งรักษาที่บ้าน (HI)หรือเจอแจกจบ (OPD) ที่จะมีแพทย์ติดตามใน 48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยเก็บข้อมูลประเมินสถานการณ์ สำหรับสถานการณ์เตียง เฉพาะรพ.สังกัดกรมการแพทย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนหน้าจะผ่อนคลายมาตรการมีอัตราครองเตียงรวมกันไม่ถึง 1,000 เตียง แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าพันเตียง คิดเป็นร้อยละ 10 ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรง เมื่อเทียบเฉพาะกับผู้ป่วยครองเตียง เช่น รพ.ราชวีถี ครองเตียงประมาณ 30 ราย อาการรุนแรง 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 ขณะที่เตียงโควิดยังว่างอีกจำนวนมาก ส่วนเตียงไอซียู ขณะนี้มีอัตราการครองเตียง ร้อยละ 10-20
BA.4-BA.5กลายพันธุ์หลบภูมิ
ผู้สื่อข่าวถามถึงอาการของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า ตามที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลระบุพบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังและรายงานว่า เริ่มพบผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 เพิ่มขึ้น หลักการของสายพันธุ์ดังกล่าวคือ คาดจะมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่มีการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในบางชนิด แต่ความรุนแรงยังไม่ชัดเจนว่าทำให้มีผู้ที่ต้องเข้า รพ.มากขึ้นหรือไม่
ผลวิจัยยันเชื้อลงปอด-ติดซ้ำได้แน่
“ทั้งนี้ รายงานจากต่างประเทศที่นำเชื้อดังกล่าวไปทดลองในเซลล์ปอด พบว่าเชื้อลงปอดมากกว่าโอมิครอน BA.1 และ BA.2 แต่ไม่ได้นำมาเทียบกับสายพันธ์เดลต้าที่เคยมีความรุนแรงที่สุด ขณะเดียวกัน ทวีปยุโรปเริ่มพบติดเชื้อเพิ่มขึ้นและเข้ารักษาใน รพ.มากขึ้นพอสมควร การติดเชื้อซ้ำเกิดขึ้นได้แน่นอน แต่ระยะจะสั้นหรือไม่ ต้องรอข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์ฯอีกครั้ง แต่ในข้อมูลรายงานต่างประเทศที่ทดสอบกับเซลล์ปอดยืนยันได้ว่า BA.4 และ BA.5 ลงปอดมากกว่า BA.1 และ BA.2 ดังนั้น แนวโน้มจึงน่าจะรุนแรงกว่า” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
หมอย้ำคำแนะนำให้ใส่แมสก์
ถามต่อว่า วันที่ 1 กรกฎาคม ศบค.ผ่อนคลายให้ถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้ จะมีคำแนะนำประชาชนอย่างไร นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโควิด-19 จากนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบของบุคคลมากขึ้น เป็นการประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง แต่คำแนะนำของทางการแพทย์ยังอยากให้สวมหน้ากากอยู่ แต่ในทางปฏิบัติ หากอยู่คนเดียว ในที่โล่งแจ้ง สามารถถอดได้ แต่หากอยู่ในสถานที่ปิด ใช้รถร่วมกับผู้อื่น อยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีคนจำนวนมากๆ ต้องสวมไว้
โปรตุเกสเผชิญระลอกใหม่หนักสุด
วันเดียวกัน ที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล (รพ.)รามาธิบดี รายงานสถานการณ์โรคโควิดกรณีข้อกังวลการระบาดของเชื้อโอมิครอนระลอกใหม่สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5ว่า ขณะนี้โปรตุเกสกำลังเผชิญกับระบาดของโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ระลอกใหม่มากที่สุด โดยจำนวนผู้ติดเชื้อต่อล้านคนมีค่าเฉลี่ย 7 วัน อยู่ที่ 2,043 ราย ในวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราผู้ป่วยรายใหม่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก แม้จะลดลงบ้างจากระดับสูงสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ 2,878 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือ 178 คน ในวันที่ 20 มิถุนายน
ไทยติดBA.4-BA.5มี81ราย
ส่วนผู้ติดเชื้อ BA.4, BA.5, และ BA.2.12.1 ที่ตรวจพบในประเทศไทย และอัพโหลดเข้าฐานข้อมูลโควิดโลก หรือ GISAID ปัจจุบันนั้น ศูนย์จีโนมฯเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ BA.4, BA.5, และ BA.2.12.1 ที่ตรวจพบในไทย ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม และอัพโหลดข้อมูลรหัสพันธุกรรมขึ้นบนฐานข้อมูลโควิดโลกวันนี้ (23 มิถุนายน)มี 32, 49, 25 ตามลำดับ ทั้งนี้ เฉพาะผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.4 – BA.5 มี 81 ราย และเมื่อรวมสายพันธุ์ BA.2.12.1 เข้าไปด้วยรวม 106 ราย
โลกผวากลายพันธุ์อาการหนัก
ศูนย์จีโนมฯระบุว่า ขณะนี้เชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 กำลังเกิดความกังวลไปทั่วโลก ล่าสุดมีการกลายพันธุ์บริเวณหนาม เพื่อให้เข้าจับกับเซลล์ปอดของมนุษย์ได้ดีขึ้น เหมือนสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดและมีอาการติดเชื้อที่รุนแรงในอดีต ต่างจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ซึ่งไม่พบการกลายพันธุ์บริเวณดังกล่าว ส่วนหนามของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 ที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถเป็นตัวเชื่อมให้ผนังของหลายเซลล์หลอมรวมเป็นเซลล์เดียว (cell fusion หรือ syncytia formation) ดึงดูดให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อเข้ามาทำลายเกิดการอักเสบของปอด ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
ลามเร็วในยุโรป“อังกฤษ”ติดเชื้อพุ่ง
สำหรับโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ขณะนี้ระบาดรวดเร็วในยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษตื่นตระหนกเป็นพิเศษ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในโอกาสเฉลิมฉลองใหญ่วันที่ 2-5 มิถุนายนกระตุ้นให้เกิดการพบปะสังสรรค์ใกล้ชิดโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 นอกจากนี้ ในทวีปอเมริกาเหนือ สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ดูเหมือนจะระบาดได้ดีกว่า BA.2.12.1 และเป็นไปได้สูงที่จะระบาดแทนที่ BA.2.12.1 ที่กำลังระบาดใหญ่ในสหรัฐฯ
กลุ่ม608ต้องฉีดอย่างน้อย4เข็ม
สอดคล้องกับความเห็นของ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ที่โพสต์เฟซบุ๊กระบุ เชื้อโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา สายพันธุ์ที่ระบาดขณะนี้เป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและจากการติดเชื้อธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์เดิม ในอนาคตอันใกล้กำลังเปลี่ยนสายพันธุ์อีกเป็น BA.4, BA.5 ปัจจุบันยอมรับว่าคนไทยต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็ม สำหรับคนที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 608 ควรรับอย่างน้อย 4 เข็ม เนื่องจากคนไทยได้รับวัคซีนหลายสูตร สูตรไขว้ 2 เข็ม หรือ 3 เข็มก่อนหน้านี้ ไม่ว่าสูตรไหนก็ตาม ต้องปิดท้ายเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิด mRNA ถึงจะปลอดภัย ยกตัวอย่างสูตรที่ยังดีไม่พอ เช่น ซิโนแวค/ชิโนฟาร์ม 3 เข็ม หรือซิโนแวค 2 เข็มตามด้วยแอสตร้า 1 เข็ม หรือได้รับแอสตร้าเซเนก้าเพียง 2 เข็ม จำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนmRNA คือไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาอย่างน้อยอีก 1 เข็ม
ใกล้ได้ฉีดmRNAโมเดอร์นารุ่นใหม่
สำหรับคนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา 1 เข็ม สามารถป้องกันป่วยหนัก/เสียชีวิตได้มากกว่า 90% แต่ถ้ารับวัคซีนmRNA ปิดท้ายเพิ่มอีก 1 เข็มเป็นเข็มที่ 4 จะช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อผ่านไป 4-5เดือนให้สูงขึ้น ลดโอกาสติดเชื้อทำให้ป่วยแบบมีอาการเล็กน้อย และเพิ่มระดับป้องกันป่วยหนัก/เสียชีวิตมากถึง 99% กลุ่มเสี่ยง608 ฉีดเข็ม 3 แล้ว 3 เดือน ให้มารับเข็ม 4 เป็นไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาได้ ส่วนนอกกลุ่มเสี่ยง 608 รับเข็ม 3 แล้ว 4 เดือนให้มารับเข็ม 4 ได้เช่นกัน ปัจจุบันมีคำแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มทุก 4 เดือน หรืออยากรอฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ ก็แล้วแต่ความสมัครใจ ในอนาคตเราจะมีวัคซีน mRNA โมเดอร์นารุ่นใหม่ ที่ครอบคลุมทั้งสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ดั้งเดิม ประสิทธิภาพจะดีกว่าเดิมมาก อาจฉีดเพียงปีละครั้งเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่
สถานบันเทิงเปิดปิดตามกม.ไม่เกินตี2
พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนกรณีศบค.ผ่อนคลายมาตรการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงว่า การประชุม ศบค.วันที่ 17 มิถุนายน ถือเป็นมาตรการผ่อนคลายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้สถานบริการทั้งหมดเปิดตามกฎหมายปกติ จึงต้องไปดูพ.ร.บ.สถานบริการพ.ศ.2509 กฎกระทรวง ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กฎหมาย คสช. ทั้งหมดมีกำกับไว้ ทั้งเรื่องเวลาการเปิด-ปิด ในพื้นที่ที่เป็นโซนนิ่งและไม่ใช่โซนนิ่ง เวลาห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนประเด็นผู้ประกอบการร้องขอ ให้ยกเลิกกฎหมายบางส่วน ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา สิ่งที่ศบค.รับผิดชอบเป็นไปตามข้อกำหนดที่จะออกมา 1-2 วันนี้ ระบุให้สถานบริการดำเนินการตามกฎหมายปกติ ที่มีอยู่ก่อนโควิดระบาด เรื่องของเวลาขึ้นกับประเภทของสถานบริการ ร้านอาหารที่จะเปิดโดยจะมีทั้งที่ให้เปิดได้ถึงเวลา 24.00 น. 01.00น.และ02.00น.ไม่เกินจากนี้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจดทะเบียน
เล็งออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวถามถึงการให้ประชาชนถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้ แล้วจะพิจารณาอย่างไรว่า ต้องกลับมาให้ใส่อีกครั้ง พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ศบค.กำลังออกข้อกำหนด มีทั้งประกาศให้ทั่วประเทศเป็นพื้นที่สีเขียว กิจการกิจกรรมดำเนินได้ตามปกติ แต่มีข้อกังวลบางส่วนจาก สธ.ที่ออกมาเป็นข้อกำหนดบังคับคือ กิจกรรมที่คนรวมตัวเกิน 2,000 คนต้องได้รับอนุญาตก่อน เรื่องผ่อนคลายถอดหน้ากากอนามัย ได้ยกเลิกกฎหมายที่บังคับว่าต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และจะมีมาตรการจาก สธ.ออกมาแนะนำ ให้ประชาชนควรใส่ในกิจกรรมใดบ้าง และอนุโลมให้ถอดหน้ากากอนามัยในกิจกรรมใด
สธ.เตรียมพร้อมมีแผนรองรับ
“ส่วนตัวคิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยยังจำเป็น เพราะทางการแพทย์ก็ยังเห็นว่าจำเป็น ส่วนการจะกลับมาบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ต้องประเมินวิกฤตที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่ผมดูสถานการณ์ปัจจุบันคิดว่าไม่น่าจะเกิดวิกฤติอีก จะมีมาตรการอื่นทางการแพทย์มารองรับ ซึ่งสธ.เตรียมพร้อมแล้ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้บรรยากาศของประชาชนได้ปรับตัวในการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดและสุดท้ายโรดแม็ปที่จะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นจะเป็นไปได้” พล.อ.สุพจน์กล่าว
นายกฯเตือนปชช.การ์ดอย่าตก
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากสถานการณ์โควิดนายกฯฝากไปยังประชาชนให้สวมหน้ากากป้องกันโควิด การ์ดอย่าตก แม้สถานการณ์โควิดจะดีขึ้น โดยวันนี้ยอดผู้ป่วยลดลงอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าราย ผู้เสียชีวิตไม่เกิน 20 ราย แต่วันนี้มีสายพันธุ์ใหม่ระบาดอย่างเป็นนัยสำคัญในต่างประเทศ นายกฯจึงขอให้ประชาชนระวัง ดูแลตัวเองขั้นสูงสุด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากยังจำเป็นอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี