ผู้ป่วยโควิดยังรักษาตามสิทธิฟรี
‘บิ๊กตู่’ยันไม่ทิ้งปชช.
แม้ปรับเป็น‘โรคประจำถิ่น’
ให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย
ที่ได้รับการยกย่องติดอันดับโลก
ป่วยเพิ่ม2,508รายเสียชีวิต17ศพ
ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 2,508 ราย เสียชีวิต17 ศพ นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ รวมถึงยังทำตามมาตรการสาธารณสุข รัฐบาลไม่ทอดทิ้งประชาชน หากป่วยด้วยโรคโควิด-19 ยังคงสามารถเข้ารักษาตามสิทธิสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม แม้โควิดปรับเป็นโรคประจำถิ่น ขออย่ากังวลเรื่องการรักษา เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทย ที่ได้รับการยกย่องติดอันดับโลก
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2565 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า พบผู้ป่วยใหม่จำนวน 2,508 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,304,342 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 1,883 ราย หายป่วยสะสม 2,303,879 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) และ ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,723 ราย
จำนวนผู้เสียชีวิต 17 ราย เสียชีวิตสะสม 8,983 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 675 ราย
ขณะที่ศูนย์ EOC กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงาน พบผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (ATK) วันนี้ จำนวน 3,489 ราย และมีผู้ป่วยใช้ท่อเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 288 ราย จากจำนวนผู้ป่วยหนัก 675 ราย
นายกฯขอให้ปชช.ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์โควิด-19 พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในบางจังหวัด ผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ที่เข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยระดับสีเหลือง คือกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่มักมีอาการน้อยไม่รุนแรง
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด และควรตรวจหาเชื้อหากพบมีอาการน่าสงสัย พร้อมชื่นชมสถานประกอบการต่างๆ ที่ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting และยังคงจัดหาแอลกอฮอล์ไว้ให้บริการ ขณะที่ผลสำรวจของอนามัยโพล รายงานว่า ร้อยละ 91 ประชาชนยังคงล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ทุกครั้งเมื่อสัมผัสวัตถุและสิ่งของร่วมกันด้วย
สปสช.ยันยังรักษาฟรีเหมือนเดิม
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยืนยันผู้ป่วยโควิด-19 ยังรักษาฟรี ตามสิทธิเหมือนเดิม แม้โรคโควิดจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป แต่จะมีการปรับแนวทางการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขโรคโควิด-19 ทั้งนี้ บอร์ด สปสช.จะพิจารณาในวันที่ 4 ก.ค.65 ซึ่งประชาชนกลุ่มเสี่ยงโควิดยังขอรับชุดตรวจ ATK ที่ร้านขายยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอปเป๋าตังได้ เมื่อตรวจแล้วติดเชื้อ กลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียวเข้ารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกแบบเจอแจกจบตามสิทธิรักษา ส่วนกลุ่ม 608 หรือมีอาการรุนแรง จะต้องพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษา หากเกิดอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินตามเกณฑ์สีเหลือง-แดง ยังใช้สิทธิ UCEP Plus เข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
น.ส.รัชดาฯ กล่าวต่อว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้ สถานการณ์ลดความรุนแรงลง ซึ่งระบบสาธารณสุขมีศักยภาพรองรับได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโรคเกิดขึ้น อาจมีเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้วลดลงไป ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม มีระบบเฝ้าระวังและเตรียมการรักษาพยาบาล
บางสถานที่ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย
สำหรับข้อกำหนดของ ศบค. เรื่องผ่อนคลายข้อปฏิบัติในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทั่วราชอาณาจักร ที่ให้การสวมหรือถอดหน้ากากเป็นตามความสมัครใจนั้น ยังมีสถานที่ที่ต้องใส่หน้ากากอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อ ได้แก่ สถานที่นอกอาคารที่มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬาหรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม เป็นต้น ส่วนสถานที่ภายในอาคารที่ต้องสวมหน้ากาก เช่น บนเครื่องบิน รถไฟฟ้าบีทีเอส โรงเรียนและสถานศึกษาที่เป็นที่ปิด เป็นต้น แต่หากมีการจัดกิจกรรมในที่โล่งแจ้งก็สามารถผ่อนปรนการสวมหน้ากากได้
“นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงการดูแลสุขภาพของประชาชนต้องให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน หากป่วยด้วยโรคโควิด-19 ยังคงสามารถเข้ารักษาตามสิทธิสุขภาพของตน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เหมือนเดิม ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทยที่ได้รับการยกย่องติดอันดับโลกมาโดยตลอด สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการรักษา คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง” น.ส.รัชดา กล่าว
เผยผลสอบเยียวยาไม่ตรงเกณฑ์289ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ระบุสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เผยผลการตรวจสอบโครงการมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา พบการดำเนินโครงการบางส่วนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ในขณะเดียวกันผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการบางส่วนไม่ได้รับเงินเยียวยา ส่งผลให้ผู้ประกันตนซึ่งได้รับผลกระทบจากการว่างงานไม่ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อน จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ทั้งนี้ โครงการมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา ดำเนินการโดยใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 เพื่อจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่สำนักงานประกันสังคมปฏิเสธการจ่ายเงินตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขที่กำหนด (จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน) โดยจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกันตนดังกล่าว รายละ 15,000 บาท
นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินโครงการมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายจากเงินกู้และมีความเร่งด่วนในการดำเนินการ ประกอบกับนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงเลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานโครงการดังกล่าว
รัฐจ่ายเงินโดยไม่สมควร4.42ล้านบาท
โดยจากการตรวจสอบตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงสิ้นสุดการดำเนินโครงการ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 มีข้อตรวจพบ ดังนี้
1.ผลการดำเนินโครงการบางส่วนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด จากการตรวจสอบผลการจ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการฯ จำนวน 13,930 ราย พบว่า มีผู้ได้รับเงินเยียวยาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด จำนวน 289 ราย คิดเป็นเงิน 4,425,000 บาท โดยมีทั้งกรณีผู้ได้รับเงินเยียวยามีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ เช่น ผู้ประกันตนที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือได้รับเงินเยียวยาจากมาตรการของหน่วยงานอื่น ฯลฯ และกรณีผู้ได้รับเงินเยียวยาบางรายได้รับเงินมากกว่า 15,000 บาท ทำให้มีการจ่ายเงินไปโดยไม่สมควร จำนวน 4,425,000 บาท และภาครัฐเสียโอกาสในการนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ในการดำเนินโครงการตามที่พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา และฟื้นฟู เยียวยา เศรษฐกิจและสังคมฯ
2.ผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการบางส่วนไม่ได้รับเงินเยียวยา จากการตรวจสอบพบว่า มีผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการไม่ได้รับเงินเยียวยา จำนวน 1,199 ราย โดยมีทั้งกรณีผู้ประกันตนที่มีปัญหาเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากธนาคาร เช่น ผู้ประกันตนที่ข้อมูลเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้องหรือบัญชีเงินฝากธนาคารปิด และกรณีที่มีการโอนเงินเยียวยาของผู้มีสิทธิได้รับเงินตามโครงการเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่น ส่งผลให้ผู้ประกันตนซึ่งได้รับผลกระทบจากการว่างงานอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไม่ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนและเกิดความไม่เป็นธรรมในการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
สตง.แนะตรวจทานความถูกต้องให้ชัด
“สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินโครงการบางส่วนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด และผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการบางส่วนไม่ได้รับเงินเยียวยามีหลายประการ อาทิ การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ประกันตนเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนดยังขาดความละเอียด รอบคอบ และรัดกุม ไม่มีกระบวนการสอบทานความถูกต้องของข้อมูลผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการทั้งก่อนและหลังการโอนเงินเยียวยา การติดตามข้อมูลเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ประกันตนที่มีปัญหาเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ครบถ้วนทุกราย ฯลฯ” รายงานการตรวจสอบของ สตง. ระบุ
จากผลการตรวจสอบข้างต้น สตง. จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศึกษาและพัฒนาระบบสารสนเทศที่ใช้ในการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้มีศักยภาพการบันทึกข้อมูลและการประมวลผลการจ่ายประโยชน์ทดแทนของกองทุนประกันสังคม หรือการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาโครงการอื่นตามนโยบาย ข้อสั่งการของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการผู้ประกันตนทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ที่มีผู้ประกันตนมาใช้บริการจำนวนมากพร้อมกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตลอดจนในการดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนที่มีลักษณะเดียวกันในอนาคตควรกำหนดให้มีกระบวนการสอบทานความถูกต้องของการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งก่อนและหลังจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามโครงการ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี