11 กรกฎาคม 2565 จากกรณีที่ผู้ปกครองของเด็กชายเอ (นามสมมุติ) อายุ 5 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ครูในโรงเรียนปรับเปลี่ยนวิธีการทำโทษเด็กนักเรียน หลังจากที่หลานถูกครูใช้ถาดหลุมอลูมิเนียมสำหรับใส่อาหารตีหัวหลาน ขณะหลานต่อแถวเดินไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับเพื่อนๆ  จนหลานร้องไห้พอกลับมาถึงบ้านก็มีอาการปวดศรีษะหวาดผวาไม่อยากไปโรงเรียน เบื้องต้นปู่กับย่าก็ได้พาหลานไปหาหมอเพราะเกรงจะมีอาการข้างเคียง เพราะหลานป่วยเป็นโรคลมชักอยู่แล้ว หากมีอะไรไปกระทบกระเทือนหรือทำให้น้องเครียดโรคลมชักก็จะกำเริบ หลังเกิดเหตุจึงยังไม่กล้าให้หลานไปโรงเรียนเพราะยังมีอาการหวาดผวา

ล่าสุดผอ.โรงเรียน ได้เชิญผู้ปกครองเด็กชายเอ (นามสมมุติ) รวมทั้งครูประจำชั้นที่ถูกกล่าวหา  มาพูดคุยกันที่โรงเรียนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นครูรุ่ง (นามสมมุติ) ครูที่ถูกกล่าวหาก็ยืนยันต่อหน้าผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้ปกครองของเด็กว่า ไม่ได้ใช้ถาดหลุมตีหัวเด็กชายเอ (นามสมมุติ) ตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่า​บางครั้งอาจจะดุหรือทำโทษเด็กเวลาที่ดื้อบ้างซึ่งก็ไม่ใช่แค่เด็กชายเอ (นามสมมุติ) คนเดียวแต่ไม่ได้ทำโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ

ส่วนกรณีเด็กชายเอ (นามสมมุติ) หากผู้ปกครองไม่สบายใจเบื้องต้นครูก็ได้ขอโทษทางผู้ปกครองไปแล้ว และอยากจะให้เด็กมาเรียนตามปกติก็รับปากว่าดูแลเด็กอย่างดีเพราะเด็กไม่ได้มาเรียนหลายสัปดาห์แล้ว 

ด้านผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวว่า เพราะเด็กไม่ได้มาเรียนหลายสัปดาห์แล้ว แต่เพื่อความสบายใจก็ได้ขอโทษทางผู้ปกครองไปแล้วแต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนการดูแลเยียวยานั้นก็ต้องรอผลตรวจจากแพทย์อีกครั้งว่าเด็กมีอาการเป็นยังไงและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นอีก ก็จะมีประชุมกำชับคณะครูให้ดูแลเด็กให้ดีและไม่ให้ลงโทษเด็กรุนแรงเกินกว่าเหตุเพราะเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก 

ด้านน.ส.พรรณทิภา (สงวนนามสกุล) แม่ของเด็กชายเอ (นามสมมุติ) กล่าวว่า หลังจากได้มีการพูดคุยกันก็รู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากนี้ก็จะพาลูกไปตรวจที่ รพ.เฉพาะทางว่าน้องมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ก็ขอคุณทาง ผอ.ที่รับปากว่าจะดูแลเยียวยาหากลูกเป็นอะไร ทั้งรับปากจะกำชับครูให้ดูแลลูกของตัวเองและเด็กๆ คนอื่นให้ดี ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก หลังจากพาลูกไปตรวจก็จะดูแลเรื่องสภาพจิตใจลูกให้ดีขึ้นก็จะพากลับมาเรียนที่โรงเรียนเหมือนเดิมไม่ได้ย้ายไปเรียนที่อื่น  เพราะทาง ร.ร.รับปากจะดูแลเด็กอย่างดี