สธ.ยันทำตามแผน
ลดระดับโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง
จับตาเชื้อกลายพันธุ์-ยอดผู้ป่วย
โควิดไทยรายวันติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่ม 1,955 ราย เสียชีวิต 33 ศพ ไทยติดอันดับ 28 โลก ผู้ป่วยหนักยังสูง 935 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจเฉียดครึ่งพัน ยอดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้น 44.9% ด้าน สธ.ออกโรงแจงไฟเขียวให้สถานพยาบาลซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิดได้เอง เป็นแผนที่วางไว้แล้ว 3-4 เดือน ไม่ได้เกิดจากถูกไล่บี้หรือใครเรียกร้อง ส่วนการประกาศโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังเริ่ม1ตค.สอดคล้องตามสถานการณ์ รองรับเดินหน้าสู่โรคประจำถิ่น WHOเตรียมหารือระดับเตือนภัยโควิดต้นเดือนตุลาคม
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบประกาศให้โควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง เริ่มวันที่ 1 ตุลาคมว่า การดำเนินการทุกอย่าง เพื่อปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคปัจจุบัน อีกทั้ง ต้นเดือนตุลาคมองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยคณะกรรมการภาวะฉุกเฉินจะประชุมหารือเรื่องระดับเตือนภัยโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์โควิดเปลี่ยนไปมาก
สำหรับการจัดระดับโรค กรมควบคุมโรคแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.โรคติดต่อทั่วไป เป็นโรคที่มีชื่อเอาไว้ หากรุนแรงขึ้นก็อาจประกาศเป็นโรคระบาด 2.โรคติดต่ออันตรายคือ โรคที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด แพร่เร็ว ต้องให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคุมกักตัว หากอยู่ในระยะสงสัย รวม 13-14 โรค และ 3 โรคติดต่อเฝ้าระวัง เป็นโรคที่ไม่รุนแรงมาก แพร่ระบาดไม่สูง มี 50 โรค
ทั่วโลกเริ่มปรับโควิดโรคทั่วไป
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ขณะนี้ทั่วโลกปฏิบัติกับโควิดเหมือนโรคทั่วไป เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไม่จำกัดการเดินทางใช้ชีวิตตามปกติ เมื่อโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังก็เทียบได้กับโรคไข้เลือด ที่ต้องระวังติดต่อ และรายงานการติดเชื้อมายังระดับกรมควบคุมโรค จากนั้นรายงานให้ สธ.ทราบ อีกทั้ง การเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังยังต้องจับตาดู เพราะโรคนี้แม้ความรุนแรงเท่ากับอดีต แต่เชื่อสถานการณ์ความรุนแรงของโรคค่อยๆปรับลดลง การกลายพันธุ์ของโรคช้าลง จะเห็นว่าไวรัสเปลี่ยนแปลงจากอู่ฮั่น อัลฟา เบต้า โอมิครอน และสายพันธุ์ย่อยจาก BA.1. BA.2 และ BA.4, BA.5 คนเราอยู่กับโรคนี้มา 3 ปีแล้วรู้ว่าต้องป้องกันตนเองอย่างไร
ย้ำ1ตค.เฝ้าระวังจับตากลายพันธุ์
“การดำเนินการจะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม ช่วงระยะเวลานี้ให้ทุกคนได้เตรียมตัว ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามดูสถานการณ์ระบาดระหว่างนี้ด้วย ถ้าไม่มีการระบาดระลอกใหม่ ก็ดำเนินการตามแผนได้ ขณะที่ การรับวัคซีนโควิดต้องฉีดทุกปีเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ต้องติดตามสถานการณ์ระบาด และการกลายพันธุ์ของเชื้อด้วย”นพ.โอภาสกล่าว และว่า ขณะนี้คนในประเทศส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 2 เข็มเกือบครอบคลุมแล้วรวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้น ต่อไปอาจฉีดกระตุ้นทุก 4 เดือน หลังรับเข็มสุดท้าย โดยผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว 3 เข็ม เข็มถัดไปฉีดวัคซีนยี่ห้อใดก็ได้ ทั้งนี้ สธ.มีแผนเตรียมสำรองวัคซีนโควิดสำหรับการฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว สามารถฉีดพร้อมกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้
ลดกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเหลือ7-3วัน
นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า การเปลี่ยนโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ประชาชนยังปฏิบัติตัวเช่นเดิม ยังคงต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้นทุก 4 เดือน สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ ส่วนการรักษาและแยกกักตัวสำหรับคนสัมผัสผู้ป่วยหรือเสี่ยงสูงนั้น ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ในคนป่วยแยกกักรักษาจากเดิม 14 วัน เหลือ 7+3 วัน ส่วนกักตัวในคนสัมผัสผู้ป่วยยกเลิกแล้ว
รพ.ซื้อยาเองทำแผนล่วงหน้า3-4เดือน
นพ.โอภาสยังกล่าวถึงกรณีนักวิชาการและเอ็นจีโอบางกลุ่มออกมาระบุ สธ.เปลี่ยนแปลงบริหารจัดการยาใหม่ทุกสถานพยาบาลจัดซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิดได้เองนั้น เป็นการดำเนินการที่เตรียมการไว้มากกว่า 3-4 เดือน ไม่ใช่ใครมาเรียกร้องแล้วก็เปลี่ยนแปลงทันที การให้สถานพยาบาลจัดซื้อยาเอง เพื่อสะดวกในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหาอย่างกทม.ไม่มีรพ.สต. สถานพยาบาลที่จะเข้าใกล้ผู้ป่วยมากที่สุดกลับเป็นคลินิก และรพ.เอกชน ผิดกับต่างจังหวัดไม่มีปัญหาเรื่องยา เพราะมีรพ.สต. โดยการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อยานี้ครอบคลุมทุกสถานพยาบาลทุกสังกัด รวมถึงคลินิก เริ่มวันที่ 1 กันยายน เพราะยาต้านไวรัสทุกชนิดเป็นยาอันตราย อยู่ในยาควบคุมต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น
ตปท.ห้ามซื้อยาปฎิชีวนะในร้านขายยา
นพ.โอภาสกล่าวด้วยว่า ในประเทศเจริญแล้วไม่มีใครซื้อขายยาปฏิชีวนะในร้านขายยา อย่างสหรัฐฯไม่มีการซื้อยาต้องมีใบสั่งแพทย์ ดังนั้น การจ่ายยาต้องทำโดยแพทย์ ร้ายขายยามีแค่เภสัชกร เมื่อมีโรคระบาดรัฐเข้าซื้อยาและกระจายเอง เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม คนที่กำลังทรัพย์น้อยจะได้เข้าถึงยา การกระจายยาลักษณะนี้เหมือนไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่กระจายทามิฟูลให้ทุกสถานพยาบาล และคลินิกยกเว้นร้านขายยา
ปลดล็อครพ.ซื้อยาโควิดทำตามแผน
สอดคล้องกับ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้โรงพยาบาล (รพ.) จัดซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19 ได้เองช้าเกินไปหรือไม่ว่า ประเด็นดังกล่าวต้องชี้แจงดังนี้ การปรับให้แต่ละรพ.จัดซื้อยาต้านไวรัสได้เองอยู่ในแผนของ สธ.ที่เป็นรายละเอียดของการทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ระบุแต่ละระยะจะดำเนินการอะไรบ้าง ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงานว่ามีผู้รับอนุญาตนำเข้ายา ทั้งฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ และเรมเดมซิเวียร์หลายบริษัทแล้ว ทั้งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) และบริษัทเอกชน ซึ่งจริงๆยาต้านไวรัสสามารถซื้อขายได้นานแล้ว แต่บางบริษัทยังขายให้ภาครัฐเท่านั้น เพราะยายังเป็นการขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉิน (EUA) จึงไม่กล้าขายให้เอกชน
ยันทำขั้นตอนปกติไม่มีใครมาไล่บี้
นพ.ธงชัยกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา สธ.เป็นผู้จัดซื้อยาและกระจายไปยังรพ.ต่างๆ ทุกสังกัด ทั้งรัฐและเอกชน แต่ขณะนี้สถานการณ์โควิดอยู่กับเรามา 2 ปี ก็เปลี่ยนแปลงไป สธ.ก็จะปรับบทบาท จึงทำหนังสือแจ้งไปให้ยังรพ.ต่างๆ รวมถึงคลินิกซื้อยาได้เองผ่านการบริหารจัดการงบประมาณของแต่ละหน่วย ดังนั้น จึงทำหนังสือด่วนที่สุดแจ้งกับ รพ.แต่ละแห่งให้เตรียมตัวจัดซื้อยาเอง พร้อมแจ้งว่ามีบริษัทใดบ้างที่ได้รับอนุญาตนำเข้า เพื่อให้รพ.ไปติดต่อ เพราะการจัดซื้อต้องวางแผนจัดซื้อ มีขั้นตอนตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องใช้เวลา
“ประเด็นหลักคือ 1 กันยายน เราจะให้รพ.แต่ละแห่งบริหารจัดการงบประมาณเอง การดำเนินงานตามขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่ามีใครกระทุ้ง เพราะบริษัทยาขออนุญาต อย.นำเข้ามานานแล้ว เพียงแต่หลายคนไม่ได้จัดซื้อยาเอง เพราะสธ.จัดสรรยาให้ทั้งรพ.รัฐ เอกชน สังกัดตำรวจ ทหาร กรุงเทพมหานคร ฉะนั้น เมื่อเข้าระบบปกติ ยาต้านไวรัสโควิดจะเป็นยาตัวหนึ่งใน รพ.ที่มีระบบจัดซื้อจัดจ้างตามปกติ” นพ.ธงชัยกล่าว และย้ำว่า เราไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ แต่เป็นแผนของ สธ.อยู่แล้วว่าเมื่อเราถอย ทุกคนก็เข้าระบบปกติ สธ.จะหาเงินมาซื้อยาแจกทุกสังกัด คงไม่ได้ ต่างคนต่างเข้าสู่ระบบปกติ เป็นแผนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าใครจะมาเคลม หรือมาไล่กระทุ้ง สถานการณ์โควิดอยู่มา 2 ปีกว่าแล้วก็ต้องเข้าสู่ระบบปกติ’
ติดเชื้อทั่วโลกสะสม590ล้านคน
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกสะสม 590,361,722ราย รักษาหายแล้วรวม 562,121,166 ราย เสียชีวิตรวม 6,438,752 ราย ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ฝรั่งเศส บราซิล และเยอรมัน ส่วนไทยอยู่อันดับ 28 ของโลก
ไทยป่วยรายวัน1,955-ตาย33ราย
สำหรับประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 1,955 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อในประเทศ 1,954 ราย ผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ 1 ราย ไม่มีผู้ติดเชื้อจากเรือนจำและที่ต้องขัง เป็นผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,609,406 ราย รักษาหายป่วย 2,294 ราย โดยผู้หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,556,796 ราย เสียชีวิต 33 ราย เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 31,663 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 20,947 ราย แบ่งเป็น อยู่ในโรงพยาบาล 11,226 ราย และโรงพยาบาลสนามอื่นๆ 9,721 ราย
โคมายังสูง935-ใส่ท่อหายใจ473คน
ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศไทย 33 รายนั้น อยู่ในกรุงเทพมหานคร 6 ราย, สมุทรปราการ 3 ราย, ปทุมธานี 3 ราย, สมุทรสาคร 1 ราย, นครปฐม 1 ราย, นครพนม 3 ราย, เลย 1 ราย, ลำปาง 2 ราย, ตาก 1 ราย, นครศรีธรรมราช 3 ราย, ตรัง 1 ราย, ชลบุรี 2 ราย, นครสวรรค์ 2 ราย, ระยอง 1 ราย, อุทัยธานี 1 ราย, พระนครศรีอยุธยา 1 ราย และกาญจนบุรี 1 ราย
ส่วนผู้ป่วยอาการหนักมี 935 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 478 ราย ติดเชื้อนอกโรงพยาบาลผลบวกจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK สัปดาห์ที่ 31 ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม- 6 สิงหาคมมี 235,753 ราย สะสม 7,105,849 ราย
ฉีดวัคซีนสะสมเฉียด142ล.โดส
ศบค.ยังรายงานความคืบหน้าการฉีดวัคซีน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมามีผู้ได้รับวัคซีนรวม 19,785 ราย สะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 มี 141,963,122 โดส แบ่งเป็นเข็มที่หนึ่งเพิ่มขึ้น 1,770 ราย สะสม 57,170,985 ราย คิดเป็น 82.2% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองเพิ่มขึ้น 2,831 ราย สะสม 53,565,533 ราย คิดเป็น 77.0% ของจำนวนประชากร เข็มที่สามเพิ่มขึ้น 15,184 ราย สะสม 31,226,604 ราย คิดเป็น 44.9% ของจำนวนประชากร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี